มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) เผยผลสำรวจ “โครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย” พบว่านิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยมีความเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น เกือบ40% และกว่าร้อยละ 4 ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมดเคยคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุข 8.41 เต็ม 10 และส่วนใหญ่ต้องการมาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยหลังจากผ่านพ้นโควิด -19
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนออนไลน์มากกว่าการเรียนการสอนตามปกติในมหาวิทยาลัย ทำให้นักศึกษาไม่ได้มาทำกิจกรรม หรือมาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ต่อมาเมื่อสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงน้อยลง มหาวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอน ซึ่งมีนักศึกษาทยอยกลับมาเรียนปกติ และพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ชอบใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
ที่ผ่านมาสภามหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีม.หอการค้าไทย จึงได้มีนโยบาย Happy U และให้โจทย์มาว่าต้องทำให้นักศึกษามีความสุข ทำให้นักศึกษาอยากมามหาวิทยาลัย อยากใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย 24 ชั่วโมง รวมถึงได้ให้ลองนำแนวคิด Happy Model ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมาประยุกต์ใช้
ทั้งนี้ระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย องค์ความรู้ หลักสูตรไม่ได้แตกต่างกัน แต่การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่จะได้รับย่อมแตกต่างกัน Happy Model ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะประกอบด้วย 4 ด้าน คือ กินดี อยู่ดี ออกกำลังกายดี และแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ “Happy U” ของมหาวิทยาลัยซึ่งต้องการให้นักศึกษามีความสุข สิ่งแรกที่ดำเนินการ คือ การสอบถามความคิดเห็น รับฟังสิ่งที่นักศึกษาต้องการ
“โลกเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน ผู้ใหญ่จึงต้องเปิดใจรับฟังและทำความเข้าใจกับเด็กรุ่นใหม่ให้มากขึ้น หลายๆอย่างสะท้อนออกมาจากการสำรวจ จากการพูดคุยกับเด็กรุ่นใหม่ เราพบว่าจุดเล็กๆก็สามารถสร้างความสุขให้พวกเขาได้ แต่เรามักมองข้าม ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่ถนัดซ้าย เขาอยากได้โต๊ะเลคเชอร์สำหรับคนถนัดซ้าย หรือนักศึกษา Oversize เขาก็อยากได้โต๊ะที่เหมาะกับพวกเขา หรือแม้แต่นักศึกษากลุ่ม LGBTQ ที่เขาต้องการห้องน้ำที่ไม่ระบุเพศ มหาวิทยาลัยก็ได้มีการสร้างห้องน้ำ All Gender สำหรับพวกเขา”
สิ่งที่จะทำให้คนที่มีความคิด ค่านิยมหลากหลายสามารถทำงานร่วมกันได้ ต้องมีทักษะด้านการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่อง Empathy หรือการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และกิจกรรมนี้ ไม่ได้เกิดจากมหาวิทยาลัยคิดแล้วทำ แต่เกิดจากการทำ Focus Groups ไปพูดคุยกับนักศึกษาแล้วพบว่า ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม มุมมองต่อชีวิต สังคมและโลก รวมถึงการให้คุณค่าต่อการทำงานและเป้าหมายชีวิตของคนรุ่นนี้แตกต่างและแปลกแยกจากคนรุ่นก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
“เด็กรุ่นนี้ต้องการความเข้าใจ พวกเขาไม่ได้มองเรื่องถูกผิดแบบคนรุ่นเก่า มหาวิทยาลัยจึงต้องปรับตัว ให้นักศึกษาได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยจะเป็นแหล่งเรียนรู้ ลองผิดลองถูกให้เขาผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรายวิชาในห้องเรียน รวมถึงกิจกรรมนอกห้องเรียน เพราะถ้าพวกเขาจบออกนอกรั้วมหาวิทยาลัยอาจจะไม่มีเบาะรองรับ ไม่มีผู้ใหญ่ ครูอาจารย์คอยให้คำแนะนำ ประสบการณ์ตลอด 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัยจะฝึกให้เขาแกร่ง เราอยากให้นักศึกษาฝึกฝน เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ทำอย่างที่ตนเองต้องการ เดินตามความฝันและไปให้ถึงฝัน อย่าเลียนแบบคนอื่น ให้ทำในสิ่งที่จะช่วยพัฒนา เติมเต็มความสุขให้แก่ตนเอง”