ครม.เคาะเพิ่มจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุน กอช. สูงสุด 3 หมื่นบาท

24 ม.ค. 2566 | 15:13 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ม.ค. 2566 | 15:23 น.

ครม. ไฟเขียวปรับเพิ่มจำนวนเงินสะสมสูงสุดของสมาชิก กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ส่วนรัฐบาลจ่ายไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับเพิ่มจำนวนเงินสะสมสูงสุดของสมาชิก และจำนวนเงินสมทบสูงสุดที่รัฐบาลจ่ายให้สมาชิกของ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

สาระสำคัญการปรับเพิ่มเงินสะสมกอช.

สาระสำคัญของการปรับเพิ่มให้สมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ครม.ได้เห็นชอบออกเป็นร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ พ.ศ. .... กำหนดการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสูงสุดไม่เกิน  30,000 บาทต่อปี และให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำหรับสมาชิกในอัตราที่กำหนดตามช่วงอายุไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ดังนี้ 

1. การจ่ายเงินสะสมสูงสุดของสมาชิก

จ่ายขั้นต่ำ 50 บาท แต่เมื่อรวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี (จากกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2558 เดิมขั้นต่ำ 50 บาท แต่เมื่อรวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน ไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี) ซึ่งเพิ่มขึ้นอีก 16,800 บาท

ภาพประกอบข่าวการออมเงิน

 

2. การจ่ายเงินสมทบของรัฐบาล

สมาชิกอายุไม่เกิน 30 ปี บริบูรณ์ ในอัตรา 50% ของเงินสะสมที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุน เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี (จากเดิมเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 600 บาทต่อปี )

สมาชิกอายุเกิน 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 50 ปีบริบูรณ์ ในอัตรา 80% ของเงินสะสมที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุน เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี (จากเดิมเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 960 บาทต่อปี)

สมาชิกอายุเกิน 50 ปีบริบูรณ์ ในอัตรา 100% ของเงินสะสมที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุน เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี (จากเดิมเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี) 

กลุ่มเป้าหมายของการออมเงิน

การเพิ่มจำนวนเงินสะสมและเงินสมทบ เป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มแรงงานนอกระบบ ประมาณ 19 ล้านคนทั่วประเทศ ให้เข้าร่วมกองทุน กอช. รวมทั้งกระตุ้นสมาชิก กอช. เพิ่มการออม สร้างความมั่นคงในอนาคตให้สมาชิกมีเงินเพียงพอสำหรับใช้ดำรงชีพยามชราภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น  

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังเน้นเป้าหมายของกองทุนฯ มุ่งให้การดูแลบุคคลที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการใดๆ อย่างเช่น เกษตรกร โดยหวังให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ยังมีรายได้ในการดำรงชีวิตในยามชรา ซึ่งข้อมูลในปี 2566 มีสมาชิก กอช.ประมาณ 2,575,000 คน