“พาณิชย์”สั่งตั้งกรรมการสอบข้าราชการเอี่ยวขายข้อมูล

29 ต.ค. 2565 | 15:24 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ต.ค. 2565 | 22:36 น.
608

"พาณิชย์"สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ข้าราชการมีเอี่ยวขายข้อมูลให้แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ขีดเส้นภายใน 5 วันต้องเสร็จ ย้ำหากผิดจริง คือ ปลดออกหรือไล่ออกย้ำเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัย พร้อมสั่งย้ายข้าราชการดังกล่าวไปปฎิบัติหน้าที่อื่น

จากกรณีที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) นำแถลงผลปฏิบัติการ ‘เด็ดปีกมังกร’ จับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งได้ดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2565 สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 16 ราย

ซึ่งใน1ใน16รายพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยที่ถูกจับรายแรกเป็นตำรวจ ยศ ‘พ.ต.ท.’  และเจ้าหน้าที่ระดับล่างของกระทรวงกระทรวงพาณิชย์ สังกัดกรมการค้าภายใน ที่แอบเข้าระบบไปล้วงข้อมูลการจดทะเบียนการค้า หรือตราธุรกิจของผู้เสียหายไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีรายได้จากการขายข้อมูลคนไทยเดียวกันให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน วันละ 20,000 บาท หรือ เดือนละ 600,000 บาทนั้น

ล่าสุดกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ได้แถลงข่าวผ่านZOOM เพื่อชี้แจงกรณีที่มีข้าวราชการของกรมฯเข้าไปเกี่ยวข้อง1ราย โดยนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว มีรองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน กำหนดให้ตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน (วันศุกร์ที่4พ.ย.) หากพบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามที่ถูกกล่าวหาจริง กระทำความผิดจริง ก็จะดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ถ้าผิดวินัยร้ายแรง ก็จะมีโทษ คือ ปลดออกหรือไล่ออก และจะดำเนินการตามกฎหมายสูงสุดทั้งวินัย อาญา เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าให้อภัย

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน

“กรมฯ ได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับผู้บังคับบัญชีตามลำดับชั้นแล้ว ทั้งปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทราบเหตุ คือ วันศุกร์ที่ 28 ต.ค.2565 ผ่านมา และนายจุรินทร์ได้สั่งการให้ตรวจสอบและหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏอย่างเร็วที่สุด และให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ในการดำเนินการอย่างเต็มที่”
 

           เบื้องต้น กรมฯ ได้สั่งให้ย้ายเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เข้ามาปฏิบัติงานในส่วนกลาง โดยให้เข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหากตรวจสอบพบว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินการตามระเบียบสูงสุดด้วย เพราะกรมฯ ได้เน้นย้ำต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานมาโดยตลอดว่าให้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต