MQDC เดินหน้าชู Theme Project และ Mixed Use เน้นเทคฯ ขับเคลื่อนอสังหาฯ

ตระหนักในเรื่องดังกล่าว และได้นำแนวคิดนี้ มาผสมผสานกับงานวิจัยที่เข้ามาซัพพอร์ต ทำให้การสร้างและพัฒนาโครงการของ MQDC อยู่ภายใต้แนวคิด For All Well-Being 
  

“เราเป็น Purpose-Driven Organization ทุกโครงการที่เราพัฒนาจะต้องสร้างประโยชน์ให้ชุมชนรอบข้าง ประเทศ และผู้อยู่อาศัย  เราพยายามทำให้ความเป็นอยู่ของทุกสรรพสิ่งดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม รวมทั้งโลกของเรา MQDC ใช้พื้นฐานของงานวิจัย พัฒนานวัตกรรมต่างๆ มาใช้ในการพัฒนาโครงการ”

งานวิจัยที่ซีอีโอท่านนี้พูดถึง MQDC ได้ลงทุนหลายร้อยล้านบาท ก่อตั้งและพัฒนาศูนย์วิจัยต่างๆ อาทิ RISC by MQDC ที่ทำเรื่องงานออกแบบ และการก่อสร้าง พัฒนาโครงการ วัสดุ และเทคโนโลยี ที่ต่อผู้อยู่อาศัย และสังคมรอบข้าง หรือ  FutureTalesLab by MQDC ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอนาคตของการใช้ชีวิต โดยใช้เครื่องมือการคาดการณ์อนาคต เพื่อสะท้อนภาพของการอยู่อาศัย การทำงาน การเรียนรู้ การใช้เวลาว่าง คมนาคมขนส่ง และบริบทของความยั่งยืน 
    

นอกจากนี้ ยังมี Creative Lab จะเข้าไปพัฒนาคอนเซ็ปท์ ทำงานคู่กับแลปอื่นๆ และทำให้ทุกเรื่องยึดโยงกับกลุ่มลูกค้า มีทีมเออร์เบิร์นแอคชั่น เน้นนำองค์ความรู้ที่เหมาะสม ทำงานร่วมกับชุมชนโดยรอบ หรือ Brain Lab ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องเอจจิ้ง การพัฒนาสมอง

แลปหรือศูนย์วิจัยต่างๆ ของ MQDC ยังเปิดกว้างให้คนทั่วไป หรือแม้แต่ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ สามารถมาศึกษาและนำนวัตกรรมเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย
    

ทิศทางธุรกิจ ของ MQDC เน้นการทำธุรกิจที่ integrate สังคมกับธุรกิจเข้าด้วยกัน เป็นการทำธุรกิจพร้อมสร้างประโยชน์ให้กับสังคม โดยโครงการของ MQDC ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ให้ความสำคัญกับมิกซ์ยูส (Mixed Use) และ Theme Project ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ และมีองค์ประกอบมาก และต้องมีงานวิจัยเข้ามาซัพพอร์ต โดยมีพาร์ทเนอร์ และซัพพลายเออร์ระดับแนวหน้ามาเป็นพันธมิตร เพราะเป้าหมายของ MQDC คือการสร้างโครงการที่มีมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส ด้วยความตั้งใจที่จะยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทย ให้เทียบเคียงกับต่างประเทศ 
    

หากถามว่าทำไมต้องเป็นมิกซ์ยูสและ Theme Project “วิสิษฐ์” อธิบายว่า เป็นเพราะการสร้างให้เกิดอิมแพ็คกับสังคม ชุมชนและประเทศ ต้องเป็นโครงการที่มีสเกลใหญ่ จึงจะเกิดอิมแพ็คได้ เช่น ไอคอนสยาม หรือ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ช่วยสร้างประโยชน์ให้ชุมชนโดยรอบเติบโต กลายเป็นเดสติเนชั่นใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ทำให้ชุมชนโดยรอบได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นด้วย 
    

อย่าง เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นการสร้างป่าให้กับชุมชน ไม่ได้ทำให้แค่กับลูกบ้านอย่างเดียว ชุมชนรอบๆ ก็มาใช้ประโยชน์ของป่าได้ และยังเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ 
  

“วิสิษฐ์” กล่าวว่า แนวคิดการทำงานที่มีคุณค่าระดับมาตรฐานเทียบกับทั่วโลกได้ ถือเป็นจุดเด่นและจุดแข็งที่ทำให้ MQDC เกิดความแตกต่าง และเป็นการเดินเกมที่ถูกทาง โดยพิสูจน์ ได้จาก โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่สามารถขายได้ต่อเนื่องแม้จะเจอสถานการณ์โควิด -19 โดยขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท หรือมากกว่า 50% โดยเฉลี่ยทั้ง โครงการ ซึ่งทั้งโครงการจะแล้วเสร็จและเริ่มส่งมอบได้ประมาณปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 และจะรับรู้รายได้เต็มที่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป 
    

ส่วนโครงการ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะฟอเรสเทียส์ ก็สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 80% รวมยอดขายกว่า 4,700 ล้านบาท และโครงการ ดิ แอสเพน ทรี โครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย และ มัลเบอร์รี่ โกรฟ ก็ทำยอดขายได้เกินกว่า 50% 
    

สำหรับทิศทางในอนาคต MQDC ยังเดินหน้าพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส และ Theme Project ต่อเนื่อง 1-2 ปี ก็จะเพิ่มซักหนึ่งหรือสองโครงการ โดยตั้งแต่กลางปี 2565 เป็นต้นไป ก็จะทยอยประกาศโครงการใหม่ๆ เช่น ปีหน้าจะมีโครงการมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวซึ่งจะอยู่ในโซน EEC  
    

“วิสิษฐ์” เน้นย้ำว่า การทำโครงการของ MQDC จะให้ความสำคัญกับการศึกษาพื้นที่ สภาพแวดล้อม แล้วเอาผลวิจัยเข้าไปใส่ ช่วยพัฒนาโครงการขึ้นมาตามคอนเซ็ปท์ที่วางไว้ ซึ่งอาจจะมีโครงการขนาดเล็กบ้าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าจะให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน และประเทศชาติเต็มที่ ก็ต้องเป็นโครงการที่มีสเกลใหญ่พอสมควร 
    

ความโดดเด่นและความแตกต่าง ที่มีงานวิจัยรองรับสนับสนุนให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดขึ้นจริงกับผู้อยู่อาศัย ชุมชน และประเทศ นั่นคือ ความแตกต่างที่เหนือชั้นของ MQDC ภายใต้การบริหารงานของ “วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์” 

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,796 วันที่ 30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2565