กางแผน 5ปี "เซ็นทรัลพัฒนา" เน้นลงทุนMixed-use Development

09 พ.ย. 2564 | 06:13 น.
637

เซ็นทรัลพัฒนา โตสวนโควิดรายได้ 9เดือนแรก รายได้รวม 20,995 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,332 ล้านบาท โดยไตรมาส 3 ปี 2564 มีรายได้รวม 5,103 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 229 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนธุรกิจระยะ 5ปั ปักธง Mixed-use Development

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ “เซ็นทรัลพัฒนา” รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ยังคงมีกำไร โดยภาพรวมงวดเก้าเดือนของปี 2564 ถือว่าบริหารจัดการได้ดีและยังคงมีกำไร

 

โดยผลการดำเนินงานรวมตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,995 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,332 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี

สำหรับไตรมาส 3 ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้มีการช่วยเหลือดูแลพันธมิตรผู้เช่าอย่างเต็มที่เช่นเคย ทำให้มีรายได้รวม 5,103 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 229 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาโครงการใหม่ยังเดินหน้าต่อยอดการเติบโตของธุรกิจ โดยการเข้าซื้อกิจการของบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อผนึกโครงการศักยภาพสูงของ SF และเซ็นทรัลพัฒนา สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว

 

 

นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2564 บริษัทฯ ยังคงความสามารถในการรักษากำไรได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 3-4 โดยบริษัทฯ ยังคงยึดมั่นการทำธุรกิจที่ดูแลพันธมิตรผู้เช่าอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมงวดเก้าเดือนของปี 2564 ถือว่าบริหารจัดการได้ดี

 

โดยผลประกอบการรวมตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2564 มีรายได้รวม 20,995 ล้านบาท ลดลง 11% และกำไรสุทธิ 5,332 ล้านบาท ลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ ที่ทำให้ต้องปิดศูนย์การค้าชั่วคราวในพื้นที่ควบคุมเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน โดยบริษัทฯ ยังคงให้ความช่วยเหลือผู้เช่าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังคงมีการบริหารจัดการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และรักษาความสามารถในการทำกำไรอย่างสุดความสามารถ

 

สำหรับภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบัน หลังมีการคลายล็อคดาวน์สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนกล้ากลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น รวมทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกสาขา มีการยกระดับมาตรการความสะอาดปลอดภัยเชิงรุก “เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+” ที่เพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและผู้มาใช้บริการ ส่งผลให้จำนวนทราฟฟิกของศูนย์การค้าส่วนใหญ่กลับมา 70-75% สำหรับสาขาในกรุงเทพฯ ส่วนสาขาในต่างจังหวัดทราฟฟิกกลับมาเกือบ 100% แล้ว

 

นอกจากจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ได้แล้ว เซ็นทรัลพัฒนาไม่หยุดนิ่งที่จะศึกษาหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปในอนาคต โดยล่าสุดได้ทำการเข้าซื้อกิจการของบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF และเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

 

โดยธุรกิจของ SF จะช่วยเสริมการเติบโตในระยะยาวได้อย่างแข็งแกร่ง ผ่านโครงการศักยภาพสูงหลายแห่ง อาทิ คอมมูนีตี้ มอลล์ และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับ Super Regional Mall อย่างเมกาบางนา ที่ทาง SF ร่วมลงทุนและพัฒนากับผู้นำธุรกิจค้าปลีกระดับโลกอย่าง IKEA

 

บริษัทฯ มุ่งมั่นใส่ใจดูแลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ได้รับรางวัลด้านความยั่งยืน Highly Commended in Sustainability จาก งาน SET AWARDS 2021 และและติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 (นับตั้งแต่ปี 2558 – 2564) อีกทั้งยังได้รับมาตรฐานความยั่งยืนจากการประเมิน GRESB Real Estate Assessment เป็นปีแรกอีกด้วย โดยมาตรฐานการประเมิน GRESB เป็นมาตรวัดความยั่งยืนของธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

 

โดยบริษัทฯ เราได้มาตรฐานระดับ Green Star ถึง 2 หมวดได้แก่ หมวด Management และ Development และยังได้ Score A ในหมวดการเปิดเผยข้อมูลอีกด้วย ซึ่งการได้รับรางวัล และมาตรฐานด้านความยั่งยืนเหล่านี้ สะท้อนถึงการดาเนินงานของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สื่อสารถึงนักลงทุนอย่างทั่วถึงและโปร่งใส อีกทั้งมีความสามารถในการปรับแผนการดาเนินงานยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่เกิดขี้น โดยให้ความสาคัญกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง ลูกค้า, ผู้เช่า, ผู้ถือหุ้น, พนักงาน, ไปจนถึงสังคมและชุมชน และพร้อมผนึกกาลังทุกฝ่ายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศไปด้วยกัน

 

เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงเดินหน้าลงทุนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ โดยล่าสุดเปิดให้บริการ “เซ็นทรัล ศรีราชา” ต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคตใหญ่และครบครันที่สุดในภาคตะวันออก ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 4,200 ล้าน เปิดให้บริการแล้วเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 64 ที่ผ่านมา ภายใต้การคุมเข้มมาตรการป้องกันขั้นสูงสุด “เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+”

 

โดยในวันแรกที่เปิดให้บริการ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามโดยจำนวนทราฟฟิกสูงถึง 30,000 คน เกินเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งเดินหน้าเตรียมเปิด “เซ็นทรัล อยุธยา” ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 64 นี้ และเตรียมเปิดเซ็นทรัล จันทบุรี ในช่วงกลางปี 2565 และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไปอีกด้วย

 

ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 35 แห่ง (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 19 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์การค้าภายใต้กิจการร่วมค้า 1 แห่ง คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 แห่ง ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 19 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9

 

และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา โดยโครงการดังกล่าวได้รวมส่วนที่บริหารจัดการโดยบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND และ SF ที่เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่

 

สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) บริษัทฯ ได้มีการปรับแผนการลงทุน และแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน

 

เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทฯ ยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน