“WTO”คาดการค้าโลกปี64ฟื้นตัว8%

05 เม.ย. 2564 | 15:33 น.

WTO คาดการณ์การค้าสินค้าโลกฟื้นตัว8%  ในปี 2564 ขณะที่ภาคบริการรอวัคซีนชุบชีวิตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก

นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เปิดเผยว่า องค์การการค้าโลกหรือ WTO ได้แถลงผลการคาดการณ์การค้าโลกล่าสุดว่า ในปีนี้การค้าสินค้าโลกจะขยายตัวที่8% และในปี2565 จะขยายตัวที่4%   นอกจากนี้แล้ว WTO ยังคาดการณ์ว่า GDP โลกจะขยายตัวที่ 5.1%  ในปี 2564 และ 3.8% ในปี 2565 จากราคาน้ำมันที่ติดลบทำให้การค้าสินค้าพลังงานติดลบถึง 35% ในปี 2564 และการค้าบริการติดลบ 63% ในปี 2564 เช่นกันโดยยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเร็วเนื่องจากโรคโควิด (ภาคบริการใหญ่ที่สุดคือ การท่องเที่ยว การขนส่ง ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง)

“WTO”คาดการค้าโลกปี64ฟื้นตัว8%

            ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญในระยะสั้นคือ การเข้าถึงวัคซีนของประเทศต่าง ๆ การผลิตและการกระจายวัคซีน และการระบาดระลอกใหม่หรือการมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจาย ส่วนปัจจัยที่น่ากังวลในระยะกลางและระยะยาวคือ หนี้สาธารณะ และนโยบายงบประมาณขาดดุลของหลายประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการค้าโลกในช่วงต่อไปได้ โดยหากมีการผลิตวัคซีนที่เพียงพอและประเทศต่าง ๆ เข้าถึงวัคซีนได้เร็วก็จะเพิ่มการเติบโตของ GDP โลกได้ถึง 1% และการค้าสินค้าโลกขยายตัวเพิ่มได้ถึง 2.5% และอาจทำให้ปริมาณการค้าโลกกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดได้ในช่วงปลายปี 2564 แต่หากวัคซีนไม่มีพอก็คงจะยังไม่ฟื้นตัวได้ดี         

 

 สำหรับในภาพรวมของปี 2563 การค้าสินค้าโลกติดลบ 5.3% ซึ่งน้อยกว่าที่ WTO คาดการณ์ไว้เมื่อตุลาคม 2563 โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในปลายปีจากความสำเร็จของการผลิตวัคซีนที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค ประกอบกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ มีนโยบายแทรกแซงและพยุงตลาด/เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มาตรการเหล่านี้ช่วยเพิ่มรายได้ครัวเรือนและสนับสนุนการใช้จ่ายและการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนก็มีวิธีเรียนรู้ปรับตัวรองรับมาตรการด้านสุขภาพที่ออกมา และการบริหารจัดการโรคระบาดที่หลายประเทศโดยเฉพาะจีนและประเทศในเอเชียทำได้ดี มีส่วนทำให้การนำเข้าของประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทำให้การค้าสินค้าของภูมิภาคต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก กเว้นในเอเชียที่การส่งออกขยายตัว0.3% และการนำเข้าติดลบเพียง 1.3% ส่วนภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติและน้ำมันต้องประสบปัญหาการนำเข้าหดตัวอย่างมาก เช่นอาฟริกา (-8.8%) อเมริกาใต้ (-9.3%) และตะวันออกกลาง (-11.3%) เนื่องจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่ลดลง ทำให้มีความต้องการนำเข้าสินค้าในประเทศลดลง

“WTO”คาดการค้าโลกปี64ฟื้นตัว8%

 ส่วนในปี 2564  คาดว่าการค้าโลกจะมีส่วนขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่น่าจะสร้างอุปสงค์การนำเข้า11.4% ของโลก ยุโรปและอเมริการใต้น่าจะมีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ส่วนประเทศที่น่าจะส่งออกได้ดีจะเป็นประเทศในเอเชีย โดยคาดว่าการส่งออกของประเทศกลุ่มนี้จะขยายตัวที่ 8.4% ส่วนการส่งออกของยุโรป และอเมริกาเหนือจะขยายตัวที่ 8.3% และ 7.7% ตามลำดับ สำหรับประเทศอาฟริกาและตะวันออกกลางการส่งออกจะอิงอยู่ที่การขยายตัวของการท่องเที่ยวโลกและการผลิตต่าง ๆ ที่จะทำให้อุปสงค์การบริโภคน้ำมันและแร่ธาตุเพิ่มขึ้น

จากข้อมูลของ WTO พบว่า ในไตรมาส 2 ของปี 2563 การส่งออกโลกในหลายภูมิภาคหดตัวอย่างมาก เช่น อเมริกาเหนือ (-25.8%) และยุโรป (-20.4%) แต่เอเชียติดลบที่-7.2% เท่านั้น และในไตรมาสที่ 4 สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ 7.7% จากเหตุผลที่ประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่าภูมิภาคอื่นและเป็นกลุ่มประเทศที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่โลกต้องการ รวมทั้งสินค้ากลุ่มสุขภาพ เวชภัณฑ์ทั้งหลายอีกด้วย

ในด้านกลุ่มสินค้า การค้าโลกในสินค้าเหล็กหดตัว 17% ในไตรมาส 3 ของปี 2563 และติดลบน้อยลงที่    2% ในไตรมาส 4 ซึ่งไปสะท้อนในการผลิตรถยนต์และวัสดุก่อสร้างด้วย สินค้ากลุ่มสิ่งทอเสื้อผ้าฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 เช่นกัน สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งคอมพิวเตอร์ขยายตัว12% ในครึ่งหลังปี 2563 และจะขยายตัวดีขึ้นใน  ปี 2564        

ทั้งนี้นางพิมพ์ชนกกล่าวถึงอันดับของประเทศไทยในหมู่ประเทศส่งออกและนำเข้าว่า ปี 2563 ไทยเป็นผู้ส่งออกลำดับที่ 25 ของโลก มีสัดส่วนการส่งออกที่1.3% คิดเป็นมูลค่า 231 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกติดลบ 6% และเป็นผู้นำเข้าอันดับที่ 25 ของโลกเช่นกัน มีสัดส่วนการนำเข้าที่ 1.2% คิดเป็นมูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการนำเข้าติดลบ 12%

“WTO”คาดการค้าโลกปี64ฟื้นตัว8%

สำหรับประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1-3 ของโลก ได้แก่ จีน (สัดส่วน 14.7% 2,591 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สหรัฐฯ (8.1% 1,432 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเยอรมนี (7.8% 1,380 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผู้ส่งออกในกลุ่มอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ (ลำดับที่ 14 สัดส่วน 2.1%) เวียดนาม (ลำดับที่ 20 สัดส่วน 1.6%) มาเลเซีย (ลำดับที่ 24 สัดส่วน 1.3%) และไทย (ลำดับที่ 25 สัดส่วน 1.3%)

ในด้านภาคบริการ ปี 2563 ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 30 มีสัดส่วนการส่งออกบริการที่ 0.6% คิดเป็นมูลค่า 31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นผู้นำเข้าอันดับที่ 24 มีสัดส่วนการนำเข้าที่ 0.9% คิดเป็นมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศผู้ส่งออกภาคบริการอันดับ 1-3 ในโลก ได้แก่ สหรัฐฯ (สัดส่วน 13.6% 669 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สหราชอาณาจักร (สัดส่วน 6.7% 330 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเยอรมนี (สัดส่วน 6.2% 305 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนผู้นำเข้าบริการอันดับ 1-3 ของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ (สัดส่วน 9.3% 434 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จีน (สัดส่วน 8.1% 378 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และไอร์แลนด์ (สัดส่วน 6.6% 309 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)