“อินเดีย” สะดุดโควิด ข้าวนึ่งไทยได้เฮ

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ เวียดนาม ตีข่าวไปทั่วโลกว่าราคาข้าวเวียดนามแพงกว่าข้าวไทยแล้ว ก็เป็นความจริง แต่แค่ช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น หากย้อนกลับไปในช่วงนั้นเวียดนาม ข้าวที่เก็บเกี่ยวประมาณเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม เป็นข้าว the autumn-winter crop ในขณะนั้นขายดีมาก เฉพาะฟิลิปินส์อย่างเดียวเกือบ  1 ล้านตัน ประกอบกับข้าวเหลือน้อยมาก ส่วนข้าวไทยราคาภายในประเทศปรับลดลงมา ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนลง ส่งทำให้ราคาข้าวเวียดนามแพงกว่าราคาไทย ( 450-455 ดอลล่าสหรัฐต่อตัน) 10-20 ดอลล่าสหรัฐต่อตัน ตอนนั้นราคาข้าวเวียดนามอยู่ประมาณ 465-470 ดอลล่าร์สหรัฐต่อตัน

“แต่ปัจจุบัน ราคาข้าวไทยวันนี้ขายอยู่ที่ 510 ดอลล่าสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาข้าวเวียดนามอยู่ที่ 470 ดอลล่าสหรัฐ แต่เราก็ไม่ได้คุย ก็ไม่รู้จะไปคุยทำไม เพราะฉะนั้นช่วงที่ราคาข้าวเวียดนามแพงกว่าราคาข้าวไทย แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ พอหลังจากนั้นราคาข้าวไทยก็เริ่มขยับขึ้นเนื่องจากข้าวนาปรัง ที่คาดการณ์ว่าจะออกมาเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนหน้านั้นได้มีการเทขายกัน แต่พอปรากฏว่าภัยแล้งทำให้นาปรังภาคกลางเสียหายมาก ตั้งแต่พิษณุโลก พิจิตร เป็นพื้นที่ที่ปลูกข้าวขาว แต่ฝนไปตกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เหนือ จึงทำให้ข้าวนาปรังรอบนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้”

นายชูเกียรติ กล่าวว่า ในขณะนี้อินเดียมีปัญหาเรื่องโควิดมาก ส่งทำให้โลจิสติกซ์มีปัญหา ความจริงข้าวนึ่งของอินเดียถูกกว่าประเทศไทย ขายอยู่ 380-385 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ยังส่งไม่ได้ จึงทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งหันมาซื้อกับไทยในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ ทำให้ผู้ส่งออกมาแย่งซื้อข้าวกันเพื่อส่งมอบราคาข้าวเลยขยับขึ้นพรวด ผู้ส่งออกที่โค๊ดราคาขายในช่วงนั้นแค่ราคา 450-451 ดอลลาร์สหรัฐ ขาดทุนกระอัก ต้องมาซื้อของแพงในประเทศที่ราคา ที่ 510 ดอลล่าสหรัฐต่อตัน ส่งออกแทน เป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดจากภัยแล้งที่รุนแรงสาหัสกว่าที่คาดคิด ฟันธงได้เลยว่าตลอดปีนี้อาจจะยาวไปถึงครึ่งปีหน้าเป็นปีทองของขาวนาไทย

เช่นเดียวกันกับนายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ราคาข้าวที่ปรับตัวในช่วงนี้เป็นผลมาจาก “ข้าวนึ่ง” เพราะประเทศอินเดียยังมีปัญหาด้านโควิด ส่งผลกับระบบโลจิสติกส์ ทำให้ลูกค้าข้าวนึ่งหันมาสั่งซื้อข้าวนึ่งจากไทย ไม่ได้สั่งเป็นล็อตใหญ่ จะเป็นล็อตขนาดเล็ก 5,000-6,000 ตัน ประกอบกับผลผลิตข้าวในประเทศออกไม่พร้อมกัน เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและการเพาะปลูกเกษตรกรเกษตรกรในบางพื้นที่ มีลักษณะปลูกข้าวตามน้ำ (พอมีน้ำ ถึงค่อยปลูกข้าว) หรือปลูกข้าวคอยฝน จึงทำให้ปริมาณข้าวเปลือกออกสู่ตลาดไม่มากในช่วงนี้ ทำให้โรงสีหรือผู้ส่งออกที่รับออร์เดอร์ไว้มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า ได้ส่งผลไปยังข้าว5% ราคาปรับขึ้นตามไปด้วย เพราะใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน

จากราคาข้าวสารที่เคยปรับตัวลดลง ตันละ 13,500 บาท ทั้งข้าวนึ่งและข้าวขาว ตอนนี้ปรับมาอยู่ที่ตันละ 15,000-15,500 บาท ส่วนราคาข้าวเปลือก ความชื้น15% ที่เคยอยู่ในระดับราคา 9,000 บาท ได้ปรับขึ้นมาแตะราคาสูงสุด 10,000 บาท อีกครั้ง ขึ้นอยู่กับคุณภาพข้าว นับว่าเป็นข่าวดีของชาวนาที่เก็บเกี่ยวในช่วงนี้ที่จะได้ขายข้าวในราคาสูง