กรมสุขภาพจิตพบคนไทยร้อยละ 30-40 นอนไม่หลับ

04 พ.ค. 2560 | 10:56 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ค. 2560 | 17:56 น.
กรมสุขภาพจิตเผยประชาชนไทยมีปัญหานอนไม่หลับช่วงกลางคืนหรือหลับไม่พอมากถึงร้อยละ 30-40 ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปพบได้ 1 ใน 5 คน  อย่าเมินปัญหา ชี้ส่งผลกระทบการดำเนินชีวิตในช่วงกลางวันเช่นอ่อนเพลีย   เครียด หงุดหงิดง่าย  ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้สูงอายุหกล้ม  แนะผู้ที่มีอาการเกิน 1 สัปดาห์ควรรีบพบแพทย์รักษาแก้ไขที่ต้นเหตุโดยเร็ว ตั้งแต่แรกจะให้ผลดี พร้อมให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติถูกต้อง 10 วิธี ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กรมสุขภาพจิตให้ความสำคัญกับเรื่องการนอนหลับ ซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองและร่างกายใช้ช่วงเวลาขณะหลับบำรุงซ่อมแซมส่วนต่างๆที่ใช้ไปให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงาน  การนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นสภาพรู้สึกสดชื่นแจ่มใส เป็นผลดีต่ออารมณ์ความรู้สึกในวันถัดไป  โดยทั่วไปคนเราใช้เวลานอนหลับ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด  คนส่วนใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง บางคนอาจนอนมากน้อยแตกต่างกัน ในกลุ่มของผู้สูงอายุต้องการนอนวันละ 7-8 ชั่วโมงไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเช่นกัน แต่ที่ผ่านมายังมีประชาชนบางส่วนเข้าใจว่าผู้สูงอายุต้องการนอนหลับน้อยกว่าคนวัยอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า ประชาชนทุกคนมีโอกาสเกิดปัญหานอนไม่หลับในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตได้ สถานการณ์ในประเทศไทยพบประชาชนไทยประสบปัญหานอนไม่หลับในช่วงกลางคืนหรือหลับไม่เพียงพอร้อยละ 30-40  และมีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังร้อยละ 10 ส่วนในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงเกิดปัญหานอนไม่หลับ เนื่องจากเซลล์ประสาทในสมองที่ควบคุมการนอนหลับเสื่อมสภาพและมีจำนวนลดลง กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการสำรวจขนาดปัญหาในระดับชาติครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2556 ผลพบว่าประสบปัญหาการนอนหลับในช่วงกลางคืนร้อยละ 22 หรือพบได้ 1 คน ในผู้สูงอายุทุกๆ 5 คน  อาการที่พบมีทั้งเกิดเดี่ยวๆได้แก่หลับยาก  หลับๆตื่นๆกลางดึก และเกิดควบคู่กัน 2 อาการขึ้นไป เช่น หลับยากร่วมกับหลับๆตื่นๆ กลางดึก  ผู้หญิงจะนอนไม่หลับสูงกว่าผู้ชาย

ผลกระทบจากการนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอ จะเป็นพื้นฐานก่อให้เกิดความเครียดอารมณ์หงุดหงิดง่าย ร่างกายอ่อนเพลีย  ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี  ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน การเรียน การตัดสินใจแย่ลง ในผู้สูงอายุอาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่ายขึ้นหากเกิดในผู้สูงอายุที่เป็นโรคสมองเสื่อมอาจทำให้มีอาการรุนแรง ความจำสับสน หลงวันหลงเวลามากขึ้น   ประชาชนจึงไม่ควรมองข้าม และขอแนะนำให้ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับเป็นเวลามากกว่า 1 สัปดาห์ควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อให้การรักษาตรงกับต้นเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ ควบคู่กับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการนอน จะช่วยให้อาการดีขึ้น  ถ้าปล่อยให้เป็นมาก การรักษาจะยากขึ้น

ด้านนายแพทย์จุมภฎ พรมสีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การนอนไม่หลับเป็นอาการ ไม่ใช่โรค ส่วนใหญ่มักจะมาจาก 3 สาเหตุ ได้แก่ ปัญหาการเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ การใช้ยารักษาโรคบางชนิดที่ทานอยู่ประจำ และพฤติกรรมการนอนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งต้องแก้ไขตามสาเหตุ  สำหรับการป้องกันปัญหานอนไม่หลับและช่วยให้การนอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น  แนะนำให้ประชาชนปฏิบัติ 10 วิธี ดังนี้ 1. เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน เพื่อให้เกิดความเคยชิน 2.ลุกจากที่นอนทันทีเมื่อตื่น การสัมผัสแสงแดดอ่อนๆในตอนเช้า ออกกำลังกายเบาๆหลังตื่นนอน 10 -15 นาที จะช่วยสมองและร่างกายตื่นตัว  3. อาบน้ำอุ่น  ดื่มนมหรือดื่มน้ำผลไม้  อ่านหนังสือเบาๆสมองประมาณ 10 นาที ก่อนนอน  1-2 ชั่วโมง และเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมที่ตึงเครียด 4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นอย่างน้อยวันละ 30 นาที ช่วยลดความตีงเครียดร่างกายและอารมณ์  5. จัดห้องนอนให้มืด เงียบ สบาย ปลอดภัย อากาศถ่ายเทดี 6.  ควรใช้ที่นอนเวลานอนกลางคืนเท่านั้น  ไม่ควรทำงาน ดูทีวีหรืออ่านหนังสือบนที่นอน 7.หากเข้านอนแล้วยังไม่หลับภายใน 15 - 30 นาที ให้ลุกจากที่นอนและทำกิจกรรมให้ความเพลิดเพลินเช่นฟังเพลง อ่านหนังสือ เมื่อรู้สึกง่วงจึงกลับไปนอนใหม่ ไม่แนะนำให้ดูทีวี ดูข่าว เล่นคอมพิวเตอร์ เนื่องจากจะเร้าความรู้สึกตื่นตัว ทำให้นอนไม่หลับ  8. ไม่ควรงีบหลับในช่วงกลางวัน หากจำเป็นไม่ควรงีบเกิน 30 นาที 9. ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ก่อนนอน ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาแฟอีนเช่นชา กาแฟ เกินวันละ2 ครั้ง  และ 10. รับประทานอาหารมื้อเย็นเบาๆ เช่น นม น้ำผลไม้ ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนเข้านอนเพราะจะให้ปวดปัสสาวะบ่อย รบกวนการนอนได้