รัฐฉานที่คิดถึง

10 ต.ค. 2565 | 04:30 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2565 | 05:05 น.
995

คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวานนี้ได้มีแฟนคลับท่านหนึ่ง เขียนไลน์มาปรึกษาว่า อยากจะทราบความเป็นมาหรือรายละเอียดของรัฐฉาน เพราะท่านสนใจซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าท่านอยากได้ข้อมูลทางด้านไหน? เอาเป็นว่าผมขออนุมานว่าท่านอยากทราบเรื่องภูมิศาสตร์ก่อนนะครับ ยังมีน้องอีกท่านหนึ่ง สอบถามมาว่า อยากเดินทางไปท่องเที่ยวที่รัฐฉาน ด้วยการเดินทางเข้าไปทางด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก เพื่อขึ้นไปทางเชียงตุง ต่อไปจนถึงเมืองลาซิล จะเป็นไปได้หรือไม่? ผมเลยจะเอาทั้งสองคำถาม มาตอบในบทความนี้เลยนะครับ หวังว่าคงจะไม่ผิดหวังนะครับ
 

รัฐฉานที่คิดถึงสำหรับผม ซึ่งผมจะคุ้นเคยกับรัฐฉานทั้งภูมิศาสตร์และประชากรของรัฐฉาน ต้องกล่าวแสดงความเสียใจกับน้องที่อยากเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันนี้ด่านชายแดนยังไม่เปิดให้เดินทางข้ามแดนได้ อีกทั้งความสงบเรียบร้อยของประเทศ ทำให้การเดินทางภายในประเทศ ด้วยรถยนต์ยังไม่ค่อยสะดวกนัก จึงต้องบอกว่าให้รอไปก่อนนะครับ แต่ก็จะขอเล่าถึงรัฐฉาน เพื่อกระตุ้นความอยากเดินทางไปท่องเที่ยวก่อนก็แล้วกันครับ 

 

รัฐฉานเป็นรัฐที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดใน 7 รัฐของประเทศเมียนมา ดังนั้นรัฐนี้จึงมีความแตกต่างกับรัฐอื่นๆ ด้วยการที่แบ่งออกเป็น Upper Shan state กับ Lower Shan state หรือถ้าเรียกตามภาษาไทยก็คือ ฉานเหนือกับฉานใต้ครับ
 

ฉานเหนือมีเมืองลาซิล เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่บนเส้นทางที่จะเข้าสู่ด่านชายแดนจีน-เมียนมาที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือที่เมืองมู่เจ ฝั่งจีนคือเมืองหยุ่ยหลี่ สินค้าที่เดินทางมาจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเกือบ 90% มาจากด่านนี้ทั้งหมด การเดินทางที่สะดวกที่สุดจากกรุงย่างกุ้ง คือมาทางเครื่องบินเท่านั้น โดยทุกเที่ยวบินจะต้องแวะจอดที่เมืองมัณฑะเลย์ก่อนเสมอครับ
 

ส่วนทางรถยนต์ ก็จะต้องเดินทางมาจากเมืองมัณฑะเลย์ วิ่งผ่านเมืองปิ่นอูลินหรือชื่อเก่าของเมืองที่มีชื่อว่า เมืองเหม่เมี่ยวครับ จากนั้นจะต้องผ่านเมืองสีป้อ เมืองหนองโช่ว เมืองแสนหวี แล้วจึงเข้าสู่เมืองลาซิล ระยะเวลาการเดินทางจากมัณฑะเลย์มาถึงเมืองลาซิล ก็ต้องเดินทางกันเป็นวันเลยละครับ เส้นทางเส้นนี้สวยงามมาก โดยเฉพาะจากเมืองสีป้อมาถึงเมืองหนองโช่ จะผ่านทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดบนภูเขา ซึ่งถ้าขึ้นสู่ถนนโค้งสุดท้ายของบนสุด มองลงมาจะเห็นเส้นทางที่สวยงามเป็นโค้งมากถึงเก้าชั้นเลยครับ
 

ส่วนที่น่าประทับใจที่สุด จะมีจุดชมวิว ที่มองเห็นทางรถไฟไต่บนปลายยอดภูเขา ข้ามไปยังอีกยอดหนึ่งของภูเขา ถ้ามองด้วยสายตาจากจุดชมวิวนั้น ดูเสมือนหนึ่งว่ารถไฟวิ่งเดินหน้าแล้วถอยหลังลงมา แล้วจึงพุ่งทะยานไปยังอีกยอดภูเขาหนึ่ง ซึ่งด้วยความเป็นจริง ผมทราบมาว่าเป็นภาพลวงตา เพราะเส้นทางเดินของรถไฟไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น คงต้องไปทดลองนั่งดูเองจึงจะรู้ครับ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากนั่งรถไฟเมียนมาหรอกครับ เพราะรถไฟมันเก่าเหลือเกินครับ

 

ส่วนที่เมืองลาซิลประชากรส่วนใหญ่เป็นคนไตหรือไทยใหญ่ ที่พูดภาษาไทยเราพอรู้เรื่องเกือบทั้งสิ้น อีกทั้งมีชาวจีนยูนนานอยู่กันเยอะมาก มีทั้งจีนฮ่อและจีนโกก้าง นอกจากนี้ยังมีภาษาชนชาติพันธ์อื่นๆ อีกสอง-สามเผ่าพันธ์ครับ  ดังนั้นที่เมืองนี้จึงมีวัฒนธรรมไทยใหญ่เชื้อสายไทโหลง(ไทยใหญ่ที่เป็นชาวไทยหลวง) ที่ค่อนข้างจะเข้มข้นมากครับ อาหารการกินที่นี่เป็นอาหารที่คล้ายบ้านเรามากเลยครับ นอกจากนี้ผมยังมีเพื่อนและรุ่นน้องหลายคนที่เคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนจีนที่ดอยแม่สะลอง เคยอาศัยอยู่ที่นี่เยอะมากเลยครับ ดังนั้นเวลาที่เดินทางไปที่นี่ทีไร ผมมักจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ
 

ส่วน Lower Myanmar เมืองหลวงจะเป็นเมืองตองจี ถ้าแปลเป็นภาษาไทย คำว่า “ตอง” แปลว่า “ภูเขา” ส่วนคำว่า “จี” ก็จะแปลว่า “ใหญ่” ดังนั้นเราจะเรียกว่า “เขาใหญ่” เดี๋ยวก็จะทับกับเขาใหญ่ที่โคราชได้ จึงขอเรียกว่าเมืองตองจี ทับศัพท์เลยน่าจะดีกว่าครับ เมืองนี้อยู่บนยอดภูเขา ที่การขึ้นเขาก็จะต้องไต่จากตีนเขาขึ้นไป ระหว่างทางสันถนนก็จะตัดออกเป็นสองเส้น ใช้เป็นทางเดินทางเดียวไปเกือบครึ่งทางเลยครับ
 

การเดินทางมาที่เมืองตองจีนั้น ก็มาได้สองทาง คือทางเครื่องบินที่บินมาจอดที่สนามบินเฮโฮ จากนั้นก็นั่งรถต่อไปอีกประมาณชั่งโมงก็ถึงเมืองตองจี บนยอดภูเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งอยู่ของเมืองที่ใหญ่มาก ตั้งตระหง่านบนยุทธภูมิที่ดีมาก เพราะอดีตคงจะมีการสู้รบกันด้วยกำลังคน ดังนั้นข้าศึกกว่าจะเดินทางไปถึงก็คงเหนื่อยหอบกันแน่ๆ บนยอดดอยจะมีวัดสุร่ามุนีที่เก่าแก่ของเมืองตั้งอยู่ ซึ่งไม่ควรพลาดของการท่องงเที่ยวครับ มีมุมถ่ายรูปที่สวยงามจริงๆ ครับ
 

นอกจากนี้ยังที่เป็นจุดศูนย์รวมของชาวปะโอ่ ซึ่งมีเมืองกากู่ที่มีเจดีย์เรียงรายอยู่เยอะมากวัดหนึ่ง ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปเยือนตองจี การที่จะเข้าไปท่องเที่ยวที่วัดของที่นี่ ต้องจ้างไกด์ที่เป็นชาวปะโอ่เท่านั้น จึงจะเดินทางเข้าไปได้ครับ นอกจากนี้ทุกปีของเทศกาลโคมลอย ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง จะมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ประจำปีของที่นี่สิบวันสิบคืนเลยครับ
 

อีกแหล่งหนึ่งของแหล่งท่องที่ของเมืองนี้ ที่ชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด คือ “ทะเลสาบอินเล” ครับคงไม่ต้องอธิบายมากนะครับ เพราะทะเลสาบอินเล เชื่อว่าทุกคนที่ไปประเทศเมียนมา จะต้องรู้จักและอยากไปเห็นกันทั้งนั้นนะครับ ผมเองบางเดือนเพื่อนฝูงมาเยอะ ทุกครั้งที่มีเพื่อนมา เขามักจะให้เราพาไปเที่ยวที่นี่เสมอครับ จนบ้างเดือนไปสองสามครั้งก็มี ไปจนคิดว่าเพื่อนไม่สงสารเราเลยนะ เพราะไปจนเบื่อที่จะไปเลยครับ ยิ่งถ้าให้ไปนอน 3-4 คืนเรายิ่งไม่รู้จะทำอะไรคลายเหงาเลยละครับ