เห็นในสื่อโซเชียล มีการสอนให้เข้าถึงฌาน4 ด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่การอ้างว่ามีเครื่องมือสามารถวัดการทำงานของสมองออกมาเป็นคลื่นสมองก็ทำให้ทราบว่า ถึงระดับไหนในการนั่งสมาธิ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์ วัดคลื่นสมอง การทำงานของสมองได้ บางครั้งคลื่นสมองสงบทำงานช้าแต่มิได้หมายความว่า ภาวะจิต จะสงบด้วย ไม่ต่างกับบุคคลที่มีพฤติกรรมภายนอกนิ่งสงบ
ไม่ทำอะไรหยาบเสียหายใดๆ หรือ ผิดศีลเลย ดูเหมือนคนนิ่งสำรวม แต่แววตา บ่งบอกภายในใจว่าเดือดปุดๆ ใจไม่สงบเลย เป็นต้น
การนิ่งสงบจมดิ่งลึกในฌาน ยิ่งถึงฌาน4 ด้วยแล้ว ยากที่จะมีสิ่งใดมาวัดได้ เว้นแต่สร้างความหมายของคำว่า ฌาน4 ขึ้นมาใหม่ที่ไม่ตรงไม่เหมือนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนเอาไว้
การอธิบายเรื่องฌาน4 ตามตัวหนังสือเรียนกับภาวะอารมณ์ฌานที่ได้นั้นเหมือนจะต่างกัน
ตามภาษาหนังสือบอกว่า ฌานที่ 1 มีวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา คำว่า วิตก วิจาร คือการใคร่ครวญการกระทำการกระหนึ่ง อาทิ ดูลมหายใจเข้าออก ก็ใคร่ครวญลมนั้น คำว่า ปีติ คือ อิ่มเอิบซาบซ่าน ขนลุก ขนพอง มีน้ำตาไหล คำว่า สุข คือ เย็นตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าเหมือนแช่ในน้ำแข็งแต่ไม่หนาวไม่สะท้านสบายตัวมีความสุขเหมือนบนสวรรค์ คำว่า เอกัคคตา คือ ภาวอารมณ์นิ่งสงบเป็นหนึ่งเดียว
ทีนี้กว่าจะปรากฏครบทั้งวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ผู้ปฏิบัติต้องอดทนผ่านความเมื่อยปวดตัวก่อน ทั้งปวดขา เหน็บ ชา ตรงนี้ถ้าร่างกายติดขัดอะไร ไม่ว่าเส้นบิด เส้นขัด เส้นจม พลังสมาธิจะเข้าไปคลี่คลายออกให้เองโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าไม่คลี่คลายออกก็ไม่สามารถเข้าถึงฌานได้ แม้แต่ฌานที่ 1 เพราะระบบของร่างกายเดินธาตุได้ไม่สมบูรณ์
เมื่อเข้าสู่ฌานที่ 1 ได้แล้ว อารมณ์ทั้งปวงดังกล่าวก็เกิดขึ้น เมื่อแช่อยู่ในฌานไปสักระยะหนึ่ง วิตกวิจารดับ คือ ถ้าใคร่ครวญลมหายใจ ลมหายใจนั้นก็จะเบาบางจนเหมือนลมดับ ไม่ได้หายใจทั้งที่จริงๆ หายใจอยู่ นี่คือ จุดที่จะข้ามไปฌาน 2 แต่บางคนไปไม่ได้กลัวตาย นึกว่าตัวเองตาย กลัวเลยลืมตาย แล้วก็ต้องกลับไปเริ่มใหม่อีก เสียงข้างนอกเริ่มได้ยินเบาน้อยลงเรื่อยๆ คล้ายหูจะดับด้วย
ดังนั้นลมหายใจจะดับจะหมดให้หมดไป จากนั้นเมื่อวิตกวิจารจางหายไป ลมหายใจดับเราก็สู่ฌานที่ 2 แล้ว นั่งแช่ปีติ สุข เอกัคคตา ไประยะหนึ่งมากน้อยนานหรือไม่อยู่ที่ความชำนาญของแต่ละคน อยู่ประสบการณ์การฝึก เวลาที่จะไปฌานที่ 3 ปีติจะค่อยๆ ดับลงอย่างช้าๆ อาการน้ำตาไหล ขนลุกขนพองจะค่อยๆ เบาลง พลังในร่างกายมีมาก
ครั้นเวลาที่จะสู่ฌานที่ 4 ภาวะความสุขที่ดื่มด่ำจะเบาบางลงช้าๆ จนจางคลายๆ ออกหมดตามผิวหนังจะเปล่งใสมีออร่า ใบหน้าจะตึงอย่างกับฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์มาทีเดียว
เมื่อถึงฌาน4 ความนิ่งอันทึบลึกดิ่งจะปรากฏขึ้นตัดการรับรู้ภายนอกทั้งปวง อุเบกขาจะเกิดขึ้นสูงมาก ตรงนี้จะมีพลังงานในร่างกายมาก จะอธิษฐานระลึกชาติก็ได้ หรือเดินสายอภิญญาก็ได้ ฌาน4 ตรงนี้พระอริยเจ้านิยมมาพักชำระจิตเวลาที่ร่างกายเหนื่อย หรือ เกิดเวทนาของสังขาร
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ ภาวจิต แห่งการได้ฌาน4 ตามรอยพระพุทธศาสนา บางสิ่งบางอย่างถ้าได้เรียนรู้ศึกษาเป็นขบวนการแล้วเราย่อมจะได้พบกุศลโดยเนื้อแท้ของชีวิต
อารมณ์ฌาน เป็นสิ่งที่สำคัญและต้องเรียนรู้เองผู้ปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเข้าใจในภาวะอารมณ์แห่งฌานนี้ทั้งปวง