ล้วงจิตใต้สำนึก

15 มิ.ย. 2566 | 03:00 น.

คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ "ล้วงจิตใต้สำนึก" โดย ราช รามัญ

จิตใต้สำนึก เป็นเหมือนห้องหรือคลังที่คอยเก็บเรื่องราวความรู้สึกทั้งด้านดีและด้านไม่ดีเอาไว้ พร้อมที่จะทำงานได้อยู่ตลอดเวลาเมื่อมีสิ่งใดทั้งด้านดีและไม่ดีในปัจจุบันเข้ามาสะกิดความคิด ความรู้สึก เรื่องราวที่อยู่ในห้องจิตใต้สำนึกก็จะปรากฏขึ้นทันที

ถ้าใครคนหนึ่งเคยถูกเพื่อนยืมเงินแล้วเพื่อนพูดว่าไม่ต้องกลัวเราเป็นเพื่อนกันคืนแน่นอน สุดท้ายเพื่อนคนนั้นก็ไม่คืนเงิน แล้วก็หายไปจากชีวิต เรื่องราวนี้ก็จะถูกเก็บไว้ในทางจิตใต้สำนึก กาลเวลาผ่านไป ถ้าเขามีเพื่อนคนไหนอีกสักคนหนึ่งมาขอยืมเงิน แล้วก็พูดขึ้นว่าเราเพื่อนกันฉันคืนให้แน่นอนนายไม่ต้องห่วง ภาวะจิตใต้สำนึกจะทำงานทันที ว่าถ้าให้ยืมไปคงจะโดนโกงเหมือนเดิม แม้ว่าเพื่อนคนใหม่นี้อาจจะไม่มีเจตนาอย่างนั้น แต่จิตใต้สำนึกได้ทำงานไปแล้ว เพราะเคยมีประสบการณ์ชีวิตมา

ดังนั้น การเรียนรู้เรื่องจิตใต้สำนึกเราเรียนรู้เพื่อมาล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไป ที่มันเกาะเกี่ยวอยู่ในจิตใต้สำนึก และทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุขกับเรื่องที่ค่อนข้างเป็นลบ เรายิ่งต้องควรกำจัด

เรื่องราวในทางลบที่อยู่ในจิตใต้สำนึก ไม่ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง และทำให้เราใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งบุคคลที่เข้ามาใหม่ อาจมีกริยาพฤติกรรมหรือคำพูดที่ละม้ายคล้ายกับคนที่เคยทำให้เราผิดหวัง เราก็ไม่ควรที่จะไปตีตราทันที ว่าเขาจะต้องทำไม่ดีกับเราเพราะมันคนละบุคคลกัน

 

วิธีการลบเรื่องไม่ดีในจิตใต้สำนึกเราต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราพร้อมที่จะลบหรือไม่ ถ้าเราพร้อมอย่างตั้งใจจริงก็จะมีแต่ผลดีกับชีวิตเรา

ผมแนะนำวิธี คือ ให้เขาลองย้อนนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดผิดหวังเป็นทุกข์มากที่สุดในเรื่องนั้น และยังคาอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราขึ้นมา

เมื่อเราทบทวนเรื่องราวนั้นแล้ว เราลองหามุมมองใหม่ในเรื่องนั้นที่เป็นในมุมบวกดูว่ามีอยู่เท่าไหร่ พยายามหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ในมุมที่ดีของเรื่องนั้น

เคยมีคนหนึ่งมีความทุกข์ในใจเชิงน้อยใจแม่ เขามีความคิดว่าแม่ไม่รัก เพราะเขาเป็นพี่คนโต แม่รักน้องชายเขามากกว่า ในสมัยวัยเด็กเขาจะโดนแม่ดุมากกว่าน้องชาย เขาต้องเก็บล้างทำถูบ้านทุกอย่างมากกว่าน้องชาย จึงเกิดความคิดที่ว่าแม่รักน้องมากกว่ารักเขา และมันกลายเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขามาโดยตลอด

กระทั่งวันหนึ่งผมให้เขาคิดถึงเรื่องราวนี้ แล้วลองมองดูซิว่าการที่แม่ดุเรา ใช้เรามากกว่าใช้น้องมีข้อดีอย่างไรบ้าง เขาก็สามารถคิดออกมาได้ว่า

แม่กำลังฝึกเขาให้เป็นผู้นำเพื่อที่จะดูแลน้องได้ แม่สอนให้เขาอดทนแข็งแกร่งในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม่มอบภาระให้เขาเพื่อฝึกฝนจะได้เป็นผู้นำที่ดีในวันข้างหน้า และเขาก็ยังคิดได้อีกหลายข้อในมุมบวกของเรื่องนี้

หลังจากที่เขาคิดได้ เขาก็เปลี่ยนความรู้สึกจากที่เป็นทุกข์น้อยใจแม่ หาว่าแม่ไม่รัก แม่ลำเอียง กลายเป็นว่าเขาขอบคุณแม่ที่สอนให้เขามีภาวะความเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก

นี่คือการเปลี่ยนจิตใต้สำนึก ด้วยวิธีการล้วงจิตใต้สำนึกเอาออกมาล้าง และเน้นล้างเฉพาะเรื่องที่เป็นภาวะลบทั้งหมด หลังจากที่เขาเข้าใจดีแล้วชีวิตของเขาก็มีความสุขมากขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่

ใครที่มีความทุกข์ มีความผิดหวัง ไม่สมหวัง สามารถนำวิธีนี้เอาวิธีนี้ไปใช้ได้ ล้วงจิตใต้สำนึกเพื่อให้ตัวเองมีความสุข มีความสดชื่นในใจ ในทางพระพุทธศาสนาที่มีการฝึกจิตด้วยการนั่งภาวนาสมาธินั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ดี และเป็นวิธีที่สามารถนำพาให้เข้าถึงจิตใต้สำนึกได้เช่นเดียวกัน

แต่รูปแบบที่จะออกมานั้นจะกลายเป็นนิมิตที่ปรากฏในสมาธิ เป็นนิมิตที่มีทั้งเรื่องลบคืออกุศล และเรื่องกุศลปรากฏขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติแต่การรู้นิมิตนั้น มิใช่พึงปรารถนาให้ผู้ปฏิบัติเข้าไปยึดติดในนิมิตนั้นๆ แต่ต้องการให้เป็นผู้ดู ผู้รู้และก็ปล่อยวางอย่างมีความเข้าใจ

เราท่านทุกคนควรหาโอกาสและเวลาในการล้วงจิตใต้สำนึกออกมาล้างให้สะอาด จะด้วยวิธีการใดก็ได้ จะใช้วิธีการแบบ NLP หรือจะใช้วิธีการแบบนั่งภาวนาสมาธิก็ได้ ถ้าใครทำอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ชีวิตจะมีแต่ความสุข ความเจริญเพราะจิตใต้สำนึกไม่มีเรื่องอกุศลเรื่องลบใดๆ คั่งค้าง

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่ามโนกรรมเป็นกรรมที่หนักที่สุด แรงที่สุด ส่งผลเร็วที่สุด เพราะทุกอย่างของมโนกรรม สุดท้ายจะไปกองรวมกันอยู่ในห้องจิตใต้สำนึกและรอวันที่จะปะทุขึ้นมาให้คุณให้โทษต่อชีวิตเรา