บรรลุ.. ธรรมชาติของชีวิต

02 ก.พ. 2566 | 03:30 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.พ. 2566 | 07:11 น.

คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

ตามความเป็นจริงแล้วการค้นพบธรรมะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าหาใช่เรื่องราวที่ปาฏิหาริย์หาใช่เรื่องราวที่มีความวิเศษเหนือมนุษย์ทั้งปวง แต่หลายคนอาจมองว่าการที่พระองค์บรรลุธรรมเป็นสิ่งที่สูงสุดเพราะว่าสิ่งที่พระองค์รู้นั้น เป็นสิ่งที่ยากแก่มนุษย์ทั้งหลายที่พึงจะปฏิบัติได้จึงเรียกและเข้าใจว่านั่น​ คือ​ ความวิเศษ

ถ้าเราศึกษาอย่างถ่องแท้จะเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้หรือที่เราเรียกว่าการบรรลุธรรมนั้น ตามความจริงแล้วสิ่งที่พระองค์ทรงรู้คือ รู้ทุกสรรพสิ่งแห่งความเป็นธรรมชาติในการเกิดของธรรมชาติ ต้นตอที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดไม่ว่าธรรมชาตินั้น จะหมายถึงชีวิตสัตว์ ชีวิตมนุษย์ ชีวิตของเรา เทพเทวดา ชีวิตของเรา อสุรกายสัตว์นรกหรือแม้แต่รวมไปถึง ธรรมชาติของพืชต่างๆ

นอกจากนี้พระองค์ก็ทรงรู้ในการตั้งอยู่ของสิ่งที่เป็นธรรมชาติทั้งปวงตลอดทั้งได้รู้ลึกถึงสิ่งที่ดับไปของธรรมชาติทั้งปวง
 

มีอีกต่างหากที่เรียกว่าพระองค์ทรงรู้ในธรรมชาติทั้งปวงและการที่ใช้คำว่าบรรลุธรรมก็เป็นคำย่อๆ หมายถึงรู้ธรรมชาติทั้งปวงเพราะธรรมชาติทั้งปวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะอยู่เหนือภาวะแห่งการเกิดการตั้งอยู่และการสิ้นไปดับไป

แต่หากเราไปตีความว่าสิ่งที่พระองค์ทรงรู้เป็นการเหนือโลก เป็นการเหนือธรรมชาติ นั่นเรากำลังเข้าใจพุทธศาสนาหรือสิ่งที่พระองค์ทรงรู้ไปในทางผิดเหลี่ยม​ ชาวพุทธในประเทศไทยมักจะเชื่อความรู้หรือสิ่งที่พระองค์ทรงรู้ไปในทางที่ผิดเหลี่ยม

ถ้าหากเราศึกษาทั้งหมดของความเป็นพุทธอย่างแท้จริง​อย่างเข้าใจนั้น เราก็จะเข้าใจวิธีการปฏิบัติที่จะทำให้เรารู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างของความเป็นไปในธรรมชาตินี้ แม้ว่าความรู้ที่เรารู้มันเกิดจากความคิดมิได้เกิดจากการปฏิบัตินั่นก็ยังนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

หากเมื่อไหร่แล้วที่เราลงมือปฏิบัติความรู้คิดหรือความรู้ที่เกิดจากความคิดจะค่อยๆ ถูกละลายไปแล้วจะกลายเป็นความรู้แจ้งทีละขั้นทีละตอน เราจะค่อยๆ สามารถถ่ายถอน สิ่งที่อยู่ในใจของเราในมุมอกุศลออกไปได้อย่างหมดจดมากขึ้น
 

อย่างแรกก็คือเราจะไม่มีความคิดที่เป็นอกุศล แม้ว่าบางครั้งในความรู้สึกอาจจะทำให้เกิดความอกุศลได้ง่ายก็ตาม แต่เพราะการเรียนรู้และปฏิบัติที่ทำให้เราเริ่มรู้แจ้งทีละนิดชีวิตของเราก็จะบริบูรณ์ไปด้วยกุศล

คำว่าลงมือปฏิบัติในที่นี้ มิได้หมายความว่าให้ไปนั่งตัวแข็งทื่อทำสมาธิอยู่ตามถ้ำตามเขา แต่หมายถึงมีภาวะของความคิดและจิตใจที่เข้มแข็ง มีสติที่รู้ทันความคิดจนสามารถรู้แจ้งได้ทีละนิดปฏิเสธสิ่งที่เป็นอกุศลทั้งปวง

เพราะตัวสติและสัมปชัญญะนี้เองเปรียบเหมือนเป็นอาวุธ ป้องกันไม่ให้เกิดความคิดความรู้สึกที่เป็นอกุศลดังนั้นนักปฏิบัติทั้งหลายที่ปรารถนารู้แจ้งเพื่อเข้าถึงทุกสภาวะของธรรมชาติต้องหันกลับมาฝึกให้มีสติสัมปชัญญะ ให้ว่องไวสว่างแจ้งจากการเคลื่อนไหวกายจากการเคลื่อนไหวความคิดจากการเคลื่อนไหวจิตของเรา ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดแบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนก็ได้แต่ผลลัพธ์คือให้สติสัมปชัญญะสว่างไสว ไวต่อการรับรู้แล้วเราก็จะเข้าถึงธรรมชาติทั้งปวงได้เอง อย่างน่าทึ่งเหมือนที่พระพันธ์​ อินทผิว​ หรือ​ หลวงพ่อเทียน​ จิตฺตสุโภ​ ปรามาจารย์แห่งการเจริญสติเคยค้นพบด้วยวิธีของท่านนั้นเอง

"สติสัมปชัญญะ" คือ​ สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดของการเกิดเป็นมนุษย์​ หรือ​ ของการเกิดก็ว่าได้​ เพราะถ้าเกิดเป็นเดรัจฉาน​ ก็มีแค่​ สัญชาติญาณ​ ถ้าเทพเทวดา​ ก็มีแค่​ ความเคยชินที่เป็นทิพย์​ 

ดังนั้น ควรรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ด้วยการฝึกสติสัมปชัญญะให้อยู่คู่กับตัวตลอดไป... 
 

ติดตามราชรามัญ https://www.facebook.com/rajraman164