STARK เคราะห์ซ้ำกรรมซัด!

14 มิ.ย. 2566 | 04:31 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มิ.ย. 2566 | 07:08 น.
3.4 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ STARK เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! โดย...เจ๊เมาธ์

*** จะเรียกว่า “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” หรือ อะไรก็แล้วแต่จะเรียก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้แผนการฟื้นฟูความเชื่อมั่น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อยเป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ในการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมามากกว่า 50 ปี ภายหลังการเข้ามากุมบังเหียนของ “เสี่ยเอ-วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ” ในนามของผู้ถือหุ้นใหญ่ แทนที่กลุ่มของ “เสี่ยโอ๋-ชนินท์ เย็นใจสุด” ดูท่าทางจะเหนื่อยยากกว่าที่คาดคิด 
 
ด่านแรก เป็นเรื่องที่บริษัทฯ ไม่สามารถปิดงบปี 2565 ได้ เนื่องจากปัญหาของการทำธุรกิจที่มีกำไรเป็นเพียงตัวเลข แต่ไม่มีตัวเม็ดเงินจริงๆ มีวัตถุดิบคงคลังเป็นตัวเลข แต่ไม่เห็น “ของในคลังสินค้า” รวมไปถึงการออกหุ้นกู้มาเพื่อซื้อธุรกิจ แต่ท้ายที่สุดกลับซื้อไม่ได้ เพราะอ้างว่าไม่คุ้มค่า หรือว่าเงินที่กู้ยืมมา ไม่มีเหลือ...จนซื้อไม่ได้ก็สุดที่จะคาดเดา 
 
ด่านที่สอง เป็นเรื่องที่ทาง LEONI AG และ LEONI Bordnetz-Systeme GmbH ได้ยื่นเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้สิทธิเพิกถอนสัญญาซื้อขายหุ้นต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศเยอรมนี (German Arbitration Institute (DIS) โดยอ้างว่า STARK ได้ละเมิดภาระผูกพันตามสัญญาซื้อขายหุ้น จึงเรียกร้องให้บริษัท STARK ชำระราคาซื้อขายหุ้นภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นพร้อมค่าเสียหายเป็นเงินราว 22,619 ล้านบาท 

ด่านที่สาม การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ STARK ได้รวมตัวยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อหวังเร่งกระบวนการทำงานให้เร็วขึ้น เพราะกังวลว่า บริษัทฯ อาจไม่ส่งงบได้ในวันที่ 16 มิ.ย.2566 ซึ่งอาจทำให้หุ้นกู้ที่เหลือมีปัญหาตามมาอีกระลอก
 
ด่านสุดท้าย เป็นเรื่องของวิกฤติศรัทธาในตัวบริษัท STARK ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ วิกฤติศรัทธาในเรื่องศักยภาพในการชำระคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ตามที่เคยสัญญาไว้
 
ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ สะท้อนออกมาผ่านมูลค่าหุ้นที่หายไปกว่า 95% ภายหลังตลาดหุ้นเปิดทางให้กลับเข้ามาซื้อขายหุ้นชั่วคราวเพียงเวลาไม่กี่วันเท่านั้น

เอาเป็นว่า ไม่ต้องไปพูดถึงเงินที่ฝรั่งกำลังเรียกร้อง เพราะถึงตอนนี้เจ๊เมาธ์ยังนึกไม่ออกเลยว่า หาก STARK ส่งงบการเงินได้ไม่ทันในวันที่ 16 มิ.ย. 2566 แล้วลากยาวไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการกลับมาซื้อขายชั่วคราว จะทำให้ราคาหุ้นที่เหลือแค่ไม่กี่สตางค์ในตอนนี้ จะร่วงลงไปอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ ลำพังปัจจุบันที่ร่วงลงมาจาก 2.50-3.50 บาท มาอยู่ที่หุ้นละ 0.09 บาทนี่ ก็ทำให้ผู้ถือหุ้นสลบเหมือดไปตามๆ กันแล้ว
 
ที่สำคัญที่สุด ยังไม่รู้ว่าในอนาคต STARK จะได้กลับมาซื้อขายอีกหรือไม่ หรือถ้าหากต้องค้างคาไปอีกหลายปี ไปจนถึงหากไม่ได้กลับมาซื้อขาย ถึงตอนนั้น...ต่อให้ได้หุ้นมาในราคาเพียงแค่ 0.01 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุด ก็น่าจะเป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสียไปซะแล้วละเจ้าค่ะ 


  
*** แม้ว่าท้ายที่สุดการเข้าซื้อหุ้น MPIC ของ “ขันเงิน เนื้อนวล” แร็ปเปอร์ชื่อดังจะจบลงไปแล้ว และหุ้นที่ซื้อทั้งหมดก็ได้ถูกโอนไปอยู่ในชื่อของ “ขันเงิน” เป็นที่เรียบร้อย แต่ปัญหาชวนสงสัยที่ยังคงคาใจนักลงทุนหลายคนรวมถึงตัวเจ๊เมาธ์ ก็คือ ประเด็นที่ก่อนหน้านี้บุคคลที่ทำดีลเพื่อซื้อ MPIC ออกมาจาก MAJOR มีชื่อว่า “ชินวัฒน์ อัศวโภคี”
  
ซึ่ง “ชินวัฒน์” คนนี้เคยเป็นบอร์ดอยู่ใน บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ขณะที่การทำดีลที่ว่านี้ ก็เป็นการตกลงซื้อขายกันในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่ STARK จะถูกแขวนเครื่องหมาย SP เพื่อห้ามการซื้อขาย เนื่องจากไม่สามารถส่งงบปี 2565 ได้ทันวันที่ 28 ก.พ. 2566 คำถามที่อยากรู้คือว่า ถ้าหากในกรณีที่ STARK ไม่เกิดปัญหาขึ้น ระหว่างชื่อ “ขันเงิน เนื้อนวล” กับ “ชินวัฒน์ อัศวโภคี” จะเป็นชื่อของใครกันแน่ ที่ได้ถือหุ้นจำนวน 92% ของ MPIC มาครอบครองในวันนี้
 
เจ๊เมาธ์ ไม่ได้บอก หรือ ไม่ได้ระบุว่า “ขันเงิน” เป็น “นอมินีของ STARK” หรือเงินที่นำมาซื้อ MPIC จะเป็นเงินที่มาจาก STARK แต่อย่างใดนะเจ้าค่ะ เพราะที่สงสัยก็มีแค่ว่า ทำไมเรื่องมันจึงบังเอิญได้ทั้งเงื่อนเวลา และตัวบุคคลได้มากขนาดนี้ ก็เท่านั้นเอง...ไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ อิอิอิ 

*** ไม่น่าเชื่อว่าหุ้นอย่าง DELTA จะกลายเป็นหุ้นที่เป็นความหวังของตลาดหุ้นไทยได้จริงจังขนาดนี้ เพราะในจังหวะที่เรื่องของการเมืองเข้ามากดดันจนตลาดอ่อนแรง จนแทบจะเป็นง่อย เพราะไม่มีแรงขับเคลื่อนใดเข้ามาช่วยเหลือและตลาดหุ้นขาดปัจจัยหนุน จะมีเพียง DELTA และหุ้นหลักอีกไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่คอยช่วยค้ำยันดัชนีหุ้นไทยไม่ให้เสียทรง 

และยิ่งถ้าจะว่ากันตามตัวเลขหน้างานด้วยผลการดำเนินงาน 1/66 ซึ่งทำกำไรออกมาสวยๆ รวมไปถึงแนวโน้ม 2/66 ที่มีข่าวว่ายังน่าจะไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้หุ้นตัวนี้ไม่ยอมหลุดกระแสออกไป ตามที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักพากันบูลลี่เอาไว้ว่า ราคาหุ้นของ DELTA ควรจะจบรอบไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่แตกพาร์โน้นเลย แต่ทรงตัวระดับ 94-95-100-103 บาทมาตั้งแต่เมษายน 2566
 
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะทรงดีแค่ไหน แต่การที่ราคาหุ้นของ DELTA มาได้ไกลขนาดนี้ ก็ถือว่ามาไกลมากแล้ว จากนี้ไปก็คงต้องดูกันหน้างานประมาณว่า ลงขาย...ขึ้นซื้อ ล็อคกำไรเป็นเงินสดไปเรื่อยๆ อย่าปล่อยยาวจนเกินไป เพราะจังหวะนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นค่ะ 


 
*** นานแล้วที่เจ๊เมาธ์ไม่ได้พูดถึงหุ้น IPO แต่ล่าสุดเมื่อเจ๊ได้เห็นข้อมูลของ บมจ. ไทยพาร์เซิล หรือ TPL ก็ทำให้เจ๊เมาธ์ถึงกับต้องตาลุกวาว เพราะบอกได้เลยว่า หุ้นน้องใหม่ตัวนี้ไม่ธรรมดา อย่างแรกก็คงต้องบอกว่า เป็นเพราะธุรกิจหลักของ TPL ซึ่งเป็นเรื่องของการขนส่งสินค้าที่กำลังเป็นหนึ่งในกระแสธุรกิจหลักที่กำลังอยู่ในกระแส และมีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจมาก 
 
อย่างที่สองเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เจ๊เมาธ์คิดว่า หุ้นตัวนี้น่าจับตามองเป็นอย่างมากนั้นก็คือ ชื่อผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่เข้ามาร่วมลงทุนกับ TPL กลุ่มนักลงทุนที่ว่านี้มีบิ๊กเนมอย่าง “นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และ สุระ คณิตทวีกุล” ซึ่งเป็นสุดยอดนักลงทุนวีไอของเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ที่ถ้าหากว่า หุ้นตัวไหนไม่ดีจริง หรือ ไม่มีอนาคต เซียนใหญ่ทั้งสองคนจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยแน่นอน ไปดูสถิติการลงทุนได้เลย เอาเป็นว่า ยังไม่ต้องเชื่อเจ๊...แต่จงจับตาดู งานนี้มีอะไรดีๆ ให้ได้ลุ้นอย่างแน่นอน

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,896 วันที่ 15 - 17 มิถุนายน พ.ศ. 2566