สภาผู้บริโภคจี้ ก.ล.ต. ตรวจสอบเยียวยาผู้ถือหุ้นกู้ STARK คืนความเชื่อมั่น

10 มิ.ย. 2566 | 19:24 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มิ.ย. 2566 | 19:35 น.
833

สภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้องให้ ก.ล.ต.ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจเต็มที่ในการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ ตรวจสอบและเยียวยาผู้ถือหุ้นกู้ บมจ. สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

 

จากกรณี STARK ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจด้านสายไฟ ได้แจ้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอเลื่อนส่งงบการเงินประจำปี 2565 จนปัจจุบันมีการขอเลื่อนทั้งหมด 3 รอบ รวมทั้งก่อนหน้านี้บริษัทฯ ยังมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายไม่โปร่งใสในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งสภาพการซื้อขายที่ผิดปกติ การยกเลิกสัญญาซื้อขายหุ้น การส่งงบการเงินประจำปี 2565 ไม่ทันกำหนด รวมถึงการประกาศลาออกของกรรมการบริหารทั้งหมด และต่อมาบริษัทฯ ได้ออกมายอมรับว่าอาจมีการทุจริตขึ้นภายในองค์กร จนทำให้ ตลท. ขึ้นสถานะห้ามซื้อขายหุ้นดังกล่าวในวันที่ 1 มีนาคม 2566 เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อนักลงทุนในตลาด

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ STARK ยังมีหุ้นกู้ที่ต้องชำระให้กับนักลงทุนถึง 5 รุ่น เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 9,200 ล้านบาท การที่บริษัทฯ ไม่สามารถส่งงบการเงินได้ตามกำหนดและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จนถึงปัจจุบัน ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทอาจเข้าข่ายผิดนัดชำระหนี้ (Default Payment) และทำให้นักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นกู้เกิดความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมากนั้น

นายจิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินการธนาคาร สภาผู้บริโภค กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นหากเป็นความเสี่ยงทั่วไปจากการลงทุนนั้น คาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังยอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แต่หากเป็นความเสี่ยงจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีเจตนาทุจริตและพยายามนำเงินของนักลงทุนไปดำเนินการในรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่สุจริต ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรให้นักลงทุนต้องแบกรับความเสี่ยงในส่วนนี้

ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้สำนักงานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เร่งออกมาตรวจสอบและเยียวยาความเสียหายจากกรณีดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคที่เข้าไปลงทุน โดย

  • ต้องออกมาตรการแก้ไขปัญหาที่เป็นขั้นตอนเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
  • และต้องทำให้สังคมเห็นว่า ก.ล.ต. สามารถกำกับดูแลหรือบังคับใช้กฎหมายกับบริษัทที่เข้าข่ายไม่สุจริตหลอกลวงอย่างเข้มข้นและทันต่อสถานการณ์
  • รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ทำผิดกฎหมายในตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจังและโดยด่วน
  • อยากให้บังคับใช้กฎหมายในเชิงป้องกันมากกว่าตามแก้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. มีบทเรียนหลายครั้งแล้วจากหลายบริษัทจดทะเบียนที่มีพฤติการณ์เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและเป็นอันตรายต่อตลาดทุนด้วย ก.ล.ต. จึงควรมีมาตรการและบังคับใช้กฎหมายในเชิงป้องกันมากกว่าตามแก้ปัญหา

"เราในฐานะผู้บริโภคที่เดินเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์คงไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าบริษัทใด หรือใครที่จะหลอกลวง ซึ่งหน้าที่ของคนที่ต้องรู้ให้ได้ก่อนเรา คือ ก.ล.ต. และเมื่อรู้แล้วต้องพยายามจัดการกับผู้ที่ทำผิดกฎหมายหรือผู้ที่ทำไม่ถูกตามเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้าไปลงทุนโดยสุจริต"นายจิณณะกล่าว

อย่างไรก็ตาม หุ้น STARK ได้ดึงดูดบรรดาบริษัทต่าง ๆ และสถาบันการเงินชั้นนำเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนี้ได้เป็นจำนวนมาก โดยที่บรรดากองทุนหรือสถาบันการเงินทั้งหลายได้นำเงินจากประชาชนที่นำมาลงทุน หรือผ่านตราสารหนี้ หรือผ่านการระดมทุน เป็นเงินที่มาจากประชาชน มีผลกระทบมาก ส่วนใหญ่ผู้ที่เลือกเข้ามาลงทุนในกองทุนหรือตราสารหนี้เหล่านี้เป็นคนวัยเกษียณที่มีความรู้สึกว่าการลงทุนในลักษณะนี้ได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากเงินโดยทั่วไป จึงได้นำเงินมาลงทุนเพื่อยังชีพในยามเกษียณ

"เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เงินต้นหายหมด รวมทั้งยังไม่ได้รับดอกเบี้ยอีกด้วย เท่าที่ทราบคือมีผู้เสียหายบางรายถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย เพราะคาดหวังว่าจะนำเงินเกษียณที่นำไปลงทุนเพิ่มเติมมาดูแลตัวเองยามชรา แต่เมื่อเป็นแบบนี้จึงส่งผลกระทบกับทั้งชีวิตของเขาเลย" อนุกรรมการด้านการเงินฯ สภาผู้บริโภค กล่าว

ขอมาตรการที่เข้มงวด ควบคุมบริษัทผู้ประเมินและจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการเข้าไปลงทุนต่าง ๆ เป็นอีกสิ่งที่สังคมควรจับตามองและตั้งคำถามด้วยเช่นกัน โดยเห็นว่า ก.ล.ต. ควรออกมาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมบริษัทผู้ประเมินและจัดอันดับความน่าเชื่อถือเครดิต โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่อยู่ในไทย มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้น ข้อมูลจากบริษัทเหล่านี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนนำมาใช้เพื่อตัดสินใจเข้าไปลงทุนในบริษัทต่าง ๆ แต่ถ้าหากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อไม่พยายามประเมินหรือไม่ทำหน้าที่ตามวิชาชีพ รวมถึง ก.ล.ต. ที่อาจไม่มีการกำกับดูแลที่รัดกุมมากพอ อาจทำให้มีผลเสียกับนักลงทุนที่เชื่อถือการจัดลำดับความน่าเชื่อถือเหล่านี้และนำไปเลือกการลงทุนได้

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) ที่เป็นบริษัทในการจัดอันดับหุ้น STARK ที่กำลังเกิดปัญหาในขณะนี้ และที่ผ่านมาบริษัททริสเรตติ้งได้เคยจัดอันดับกรณีหุ้น EARTH หรือหุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยอาจมีการจัดอันดับออกมาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายหุ้นของบริษัททั้งสอง ก็เกิดปัญหาและส่งผลให้นักลงทุนหลายรายได้รับผลกระทบ จึงขอให้ ก.ล.ต. ออกมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างเคร่งครัดด้วย