บทเรียนจากดีล SCB-Bitkub

27 ส.ค. 2565 | 20:55 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ส.ค. 2565 | 04:00 น.
3.9 k

บทเรียนจากดีล SCB-Bitkub บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า โลกในมุมมองของ Value Investor

การยกเลิกข้อตกลงซื้อหุ้นบิทคับออนไลน์จำนวน 51% มูลค่า 17,850 บาทของกลุ่ม SCB เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565 หลังจากที่มีการลงนามใน MOU หรือ “ความตั้งใจ” ที่จะซื้อ-ขายหุ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 หรือเมื่อประมาณ 10 เดือนมาแล้ว  เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนสำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ใหม่ ๆ อย่างดิจิทัลที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลกของการลงทุนหรือการเก็งกำไรไม่น้อย

 

ข้อแรกก็คือ  เมื่อมีการประกาศดีลเทคโอเวอร์ในราคาที่กำหนดนั้น  อย่าเชื่อมั่น 100% ว่าดีลนั้นจะต้องเกิดขึ้นตามที่ประกาศไม่ว่าคนซื้อหรือขายจะเป็นใคร  เพราะการประกาศนั้น  มักจะมี “เงื่อนไขสำคัญ” ว่าจะต้องมีการทำ “Due Diligence” หรือ “ตรวจสอบกิจการ” เป็นที่พอใจก่อน  ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร  อย่างไรก็ตาม  โดยทั่วถ้าไม่มีอะไรที่ทำให้ธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็นจากภายนอก  ดีลก็มักจะสรุปได้ตามที่ประกาศใน MOU ซึ่งเป็นสัญญาที่ “หลวม” และเลิกได้  และส่วนใหญ่ก็มีกำหนดระยะเวลาของสัญญาไว้ด้วย  ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ในเวลากำหนดก็สามารถล้มดีลได้โดยอัตโนมัติ

 

ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนแล้ว  เวลามีการประกาศดีลเทคโอเวอร์ที่มีราคาหุ้นหรือทรัพย์สินสูงกว่าราคาตลาดมาก  ราคาหุ้นในตลาดก็จะวิ่งขึ้นไปหาราคาที่มีการประกาศ  แต่ก็มักจะต่ำกว่าประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนคิดว่าส่วนต่างแค่ไหนถึงจะคุ้มที่จะเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นมาเก็บเพื่อรอไป “Tender” หรือขายให้กับคนที่เทคโอเวอร์ในวันที่จะรับซื้อ  การทำแบบนี้บางทีก็เรียกว่าทำ “Arbitrage” คือทำกำไรได้หลายเปอร์เซ็นต์ เช่น 6-7% ในเวลาสั้น ๆ  แค่ 3-4 เดือนโดย  “ไม่มีความเสี่ยง” แต่จริง ๆ  ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เล็กน้อยกรณีที่ดีลไม่ผ่าน   

 

สำหรับผม  ก่อนที่จะซื้อหุ้นที่กำลังถูกเทคโอเวอร์  นอกจากจะต้องดูว่าราคา Discount หรือส่วนลดนั้นคุ้มค่าหรือไม่แล้ว  ผมยังต้องดูอีกว่าถ้าดีล “ล่ม” ผมจะเสียหายแค่ไหน  ถ้าคำตอบก็คือ  ราคาที่ผมซื้อนั้น  จริง ๆ ก็ถูกมาก  หุ้นเป็นหุ้น Value ที่มี  Margin Of Safety อยู่แล้ว  และเหตุผลที่คนเทคโอเวอร์ก็เพราะหุ้นนั้นถูกเกินไปมาก  แบบนี้ผมก็จะซื้อหุ้น  แต่ถ้าไม่ใช่  และราคาหุ้นหรือทรัพย์สินนั้น “แพงมาก” ในสายตาของผม  ผมก็จะไม่เข้าไปเล่นเลย

 

ดีลการซื้อหุ้นบิทคับออนไลน์นั้น  เกิดขึ้นในยามที่ทุกอย่างกำลังร้อนแรงสุด ๆ  ราคาของบิทคอยน์ซึ่งเป็นทรัพย์สินดิจิทัลหลักที่ซื้อขายอยู่บนแพลทฟอร์มของบิทคับออนไลน์นั้นขึ้นไปสู่จุด “สูงสุดใหม่” ที่ประมาณ 65,000 เหรียญ จากราคาที่ประมาณ 32,000 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100%ในช่วงเวลาแค่ 4 เดือน  และนี่ก็เป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดครั้งที่สอง หลังจากที่เคยขึ้นไปถึง 60,000 เหรียญในช่วงเดือนมีนาคม 2564 และตกลงมาอย่างรวดเร็วเหลือเพียงครึ่งเดียวคือประมาณ 30,000 เหรียญในเดือน กรกฎาคม 2564  

 

ทั้งหมดนี้  หากมองในสายตาของนักเก็งกำไรที่เน้นการวิเคราะห์ในทางเทคนิคแล้ว  ก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า  บิทคอยน์นั้นน่าจะต้องวิ่งต่อไปอีกไกลมากเพราะทำจุดสูงสุดใหม่ได้อย่างรวดเร็วหลังจาก “ถล่มทลาย”  และลบล้างความเชื่อหรือความกลัวที่ว่าบิทคอยน์นั้น  “ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย” และอาจจะ “ล่มสลาย” ไปในที่สุด

 


 

เช่นเดียวกัน  แพลทฟอร์มการซื้อขายเหรียญดิจิทัลของบิทคับนั้น  กำลังเป็นผู้นำที่เรียกว่า “Dominant” หรือครอบงำธุรกิจซื้อขายเหรียญของประเทศไทย  มี Market Share หรือส่วนแบ่งทางการตลาดถ้าผมเข้าใจไม่ผิด  กว่า 90%    ในขณะที่นักลงทุนไทย “รุ่นใหม่” ที่เป็นหนุ่มสาวต่างก็เข้ามาเล่นเหรียญคริบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอยู่ใน “ระดับโลก”  คือเพิ่มขึ้นเป็น “ล้านคน” ในช่วงเวลาเพียง “ปีเดียว”  นั่นส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายผ่านบิทคับออนไลน์ทั้งปีคิดเป็นมูลค่ากว่าล้านล้านบาทต่อปีถ้าผมจำไม่ผิด  และด้วยค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ค่อนข้างสูงอานิสงค์จากการที่คู่แข่งยังไม่ค่อยมีศักยภาพ  ทำให้บิทคับออนไลน์มีกำไรต่อปีล่าสุดสูงถึงกว่า 1,000 ล้านบาท

 

ดูเหมือนว่าโลกและประเทศไทยจะเลี่ยงที่จะเข้าสู่  “โลกใหม่”  ที่มีเหรียญดิจิทัลสารพัดชนิดโดยเฉพาะเหรียญคริบโตเป็น “แกนหลัก” ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  คนที่ไม่รีบที่จะเรียนรู้และธุรกิจที่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องจะถูก “ทิ้งไว้ข้างหลัง”  นั่นเป็นสัญญาณที่ส่งออกมาจาก “แชมเปี้ยน” หรือ “ฮีโร่”  ทั้งหลายของโลกดิจิทัล   “ผู้ควบคุมกฎ” ของประเทศต่างก็ต้องรีบ  “ปรับตัว”  เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  ที่มีข้อมูลอย่างจำกัด  และแม้ว่าจะกลัวและหวาดวิตกกับการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ต้องพยายามแสดงว่าพร้อมที่จะสนับสนุนเพื่อไม่ให้ถูกมองว่ากำลัง  “ตกยุค”

 

ในด้านของธุรกิจเองนั้น  นักธุรกิจ “หัวก้าวหน้า”ต่างก็เข้ามาร่วมในกระบวนการ “เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”นี้  พวกเขาผลิตเหรียญออกมาขายหรือให้บริการทั้ง ๆ ที่คนจะใช้ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไรหรือมีประโยชน์อะไร  แต่สังคมก็ “ให้ค่า” เรื่องราวหรือ Vision หรือการมีวิสัยทัศน์เหล่านั้น  เข้ามาซื้อเหรียญที่ทำให้คนผลิตรวยกันในชั่วข้ามคืน  มีทรัพย์สินดิจิทัลคิดเป็นเงินพัน หมื่นหรือหลายหมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับธุรกิจเดิมของบริษัทที่ทำมาเป็นสิบ ๆ  ปีแล้ว  แต่กำไรก็แค่หลักร้อยล้านบาทหรือต่ำกว่านั้นในแต่ละปี  และนี่ก็เช่นเดียวกับนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนซื้อขายเหรียญซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร  รู้แต่ว่าราคามันขึ้นไปเร็วมาก  บางทีเป็น 10 เท่า ภายในเวลาไม่กี่เดือน  และเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็นำไปสู่จุด Peak หรือจุดสุดยอดที่มีการประกาศดีล SCB-Bitkub ในช่วงปลายปี 2564

 

หลังจากการลงนามใน MOU เพียงไม่กี่วัน  ราคาหุ้นบิทคอยน์ก็ทิ้งดิ่งลงมา  จาก 65,000 เหรียญเหลือเพียง 35,000 เหรียญ และเคยตกลงมาเหลือเพียง 20,000 เหรียญ  โลกเกิดความปั่นป่วนโดยเฉพาะจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เริ่มในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้ปัจจัยทุกอย่างที่เคยเอื้ออำนวยซึ่งทำให้ทรัพย์สินมีค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์กลับเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้าม  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี  อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ต่ำเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจที่ถดถอยและเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น  

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน  ข่าวและเรื่องราวของการฉ้อฉล  การโกง และการที่ผู้คุมกฎเริ่มเข้ามาห้ามการทำกิจกรรมหลาย ๆ  อย่างรวมถึงการเข้ามาตรวจสอบธุรกรรมต่าง ๆ  ที่ก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมหรือเป็นการทำราคาเพื่อให้คนเข้ามาซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัล  ก็เริ่มผุดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ  เรื่องราวของ “เซเล็บ” ที่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหรียญที่ทำความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมากถูกจับ  ทั้งหมดนี้ทำให้ตลาดของเหรียญและทรัพย์สินดิจิทัลต่าง ๆ  แทบจะ “วาย”  และนั่นก็นำมาสู่  “ตะปูตัวสุดท้าย” นั่นก็คือ  การล้มดีล SCB-Bitkub เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565

 

ซึ่งผมคิดว่าเป็นการ“จบฤดูกาล”ของเหรียญดิจิทัลของไทยในรอบนี้โดยที่เหรียญบิทคับที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทบิทคับออนไลน์ซึ่งเป็น“ดารานำ”ตกลงมาเหลือ 55 บาทจากที่เคยสูงถึงกว่า 500 บาทในช่วงปลายปี 2564 ที่มีการทำ MOU หรือลดลง 90% ในเวลาไม่ถึงปี  มูลค่าตลาดของเหรียญเหลือเพียงประมาณ 5,000 ล้านบาท จากที่เคยสูงถึง 50,000 ล้านบาท  สภาพ!