วิกฤติตลาดหุ้นเวียดนาม: ภัยคุกคามหรือโอกาส?

09 ก.ค. 2565 | 17:43 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ค. 2565 | 00:55 น.
2.5 k

โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีรูปแบบคล้ายคลึงกับดัชนีตลาดหุ้นของอเมริกาโดยเฉพาะดัชนี S&P500 มาก  เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นน่าจะมาจากการที่เศรษฐกิจเวียดนามมีความสัมพันธ์กับอเมริกามากขึ้นมาก เมื่อเทียบกับอดีต  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  เวียดนามส่งสินค้าไปอเมริกามากที่สุดคิดเป็นกว่า 25% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด  และก็ยังได้เปรียบดุลการค้ามหาศาล  ค่าเงินด่องในระยะหลายปีที่ผ่านมาก็มีเสถียรภาพมากที่สุดประเทศหนึ่งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์  

 

มองย้อนหลังไปประมาณ 5 ปี ดัชนี S&P ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาประมาณ 58% เป็น 3,899 จุด  ในขณะที่ดัชนีเวียดนามปรับขึ้นประมาณ 53% เป็น 1,171 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกันมาก และที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ดัชนีทั้งสองแห่งทำ  All Time High คือขึ้นสู่จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ในช่วงประมาณสิ้นปี 2564 ที่ผ่านมา  โดยที่ดัชนีหุ้น S&P ขึ้นมาที่ประมาณ 4,800 จุดและดัชนีเวียดนามขึ้นมาที่ 1,500 จุด  

 

ความคล้ายกันยังดำเนินต่อไปอีกเมื่อตลาดหุ้นอเมริกาเริ่มตกต่ำลงอย่างหนักตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจเริ่มมีปัญหาอานิสงส์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา  ซึ่งทำให้สหรัฐต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วซึ่งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังตามมา  ผลก็คือ  ดัชนี S&P ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดต่ำสุดติดลบไปประมาณ 23% กลายเป็นวิกฤติตลาดหุ้น  และก็เช่นเดียวกัน  ดัชนีหุ้นเวียดนามก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วและในช่วงหนึ่งติดลบไปถึง 24% 

ถึงวันนี้  ดูเหมือนว่าปัญหาที่ก่อให้เกิดวิกฤติของตลาดหุ้นอเมริกายังไม่ได้สิ้นสุดลง  มันอาจจะเพิ่งเริ่มต้น  เซียนนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจต่างก็เตือนให้ทุกคนระวังว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาอาจจะถดถอยลงต่อไปอีก  ทำนองว่า 6 เดือนที่ผ่านมา  “เผาหลอก”  หกเดือนข้างหน้าจะ “เผาจริง”  บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งรวมถึงเทสลาของอีลอนมัสก์และเฟซบุคหรือเมตาของมาร์กซักเกอร์เบิร์กประกาศลดคนงาน  การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างก็ถูกปรับลดลง  การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความเสี่ยงสูง

 

คำถามสำคัญก็คือ  เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนกับของสหรัฐไหม?  เราควรจะทำอย่างไร?   นี่คือช่วงเวลาของ “ภัยคุกคาม” หรือ “โอกาส” ในการลงทุน?

 

ประเด็นสำคัญก็คือ  ความเหมือนกันระหว่างอเมริกากับเวียดนามนั้น  ดูเหมือนจะจบหรือสิ้นสุด ณ.จุดนี้  ต่อจากนี้คือความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นแม้ว่าเศรษฐกิจของเวียดนามก็ยังคงสัมพันธ์หรืออิงกับอเมริกาต่อไปและนับวันจะมากขึ้นไปอีก  ความแตกต่างที่สำคัญก็คือ  เศรษฐกิจของเวียดนามไม่ได้ถดถอยลง  ตัวเลขการเติบโตของ GDP ไตรมาสล่าสุดของเวียดนามคือประมาณ 7.7% เทียบกับปีที่แล้ว   และได้รับการคาดหมายว่าทั้งปี 2022 ก็จะโตขึ้นประมาณ 7% 

 

ที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตัวเลขการจ้างงานในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง และตัวเลขการจ้างงานรวมนั้นมากกว่าจำนวนก่อนโควิด-19 ไปแล้วที่ประมาณ 50.5 ล้านคนเทียบกับ 50.3 ล้านในปี 2019 เพราะนี่จะเป็นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีต่อ ๆ  ไปที่ถูกคาดการณ์ว่าจะโตอย่างรวดเร็วในระดับ 6-7% ต่อปี โดยหน่วยงานทางเศรษฐกิจระดับโลก

ในด้านของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็น “พื้นฐานที่แท้จริง” ของหุ้นเวียดนามนั้น มีการคาดกันว่า  กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในปี 2022 จะโตถึง 29% หลังจากที่เห็นผลประกอบการในไตรมาส 1 ไปแล้ว  ส่วนปี 2023 และ 2024 คาดหมายว่าจะโต 16% ต่อปีไปอีก 2 ปี  อย่างไรก็ตาม  นี่เป็นการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นที่อาจจะมองโลกในแง่ดีกว่าปกติได้

 

สุดท้ายในเรื่องของความถูกความแพงของหุ้นในตลาดก็คือ  ค่า PE ปัจจุบันของหุ้นเวียดนามนั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่าเทียบกับ 16-17 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  ในขณะที่ PE ในปี 2022 และ 2023 อยู่ที่ประมาณ 10.7 และ 9.3 เท่า ตามการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ชั้นนำของเวียดนาม  และก็เช่นกันว่าอาจจะมีความลำเอียงในด้านบวกบ้าง  

 

แต่นี่ก็เป็นการแสดงถึงความมั่นใจของนักวิเคราะห์ชั้นนำของเวียดนามที่มองว่า  บริษัทจดทะเบียนของเวียดนามนั้นยังคงเติบโตได้อย่างรวดเร็วและหุ้นมีราคา “ถูกมาก”  และสำหรับผมแล้ว  มันเป็นสัญญาณว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของเวียดนามที่ดำเนินมาไม่น้อยกว่า 22 ปีแล้วนั้น  ยังจะโตต่อไปและแทบจะไม่สะดุดแม้ว่าโลกจะประสบกับภาวะวิกฤติ

 

การตกลงมาของตลาดหุ้นเวียดนามที่ทำให้ดัชนีลดลงประมาณ  22% จากต้นปีโดยที่เศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้มีปัญหาและทำให้ราคาหุ้นค่อนข้างถูกมากเมื่อเทียบกับการเติบโตต่อไปในอนาคตนั้น  สำหรับผมแล้วต้องถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวโดยเฉพาะในหุ้นที่ดีระดับซุปเปอร์สต็อกโดยเฉพาะถ้าหุ้นนั้นมีราคาที่ไม่แพง  มีค่า PE ในระดับไม่เกินซัก 20-30 เท่าจาก “กำไรปกติ”  

 

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ในยามนี้ที่คนต่างก็ต้องการขายหุ้น “หนีตาย” บางคนถูก  Forced Sale หรือบังคับขายหุ้นที่ซื้อด้วยมาร์จิน  ทำให้หุ้นตกลงมาแรงและมีแรงขายมากมายในหุ้นทุกตัวโดยเฉพาะหุ้นที่มีศักยภาพเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อก  ทำให้เราที่เป็นชาวต่างชาติสามารถซื้อหุ้นเหล่านั้นได้ด้วยราคา Premium ที่ต่ำลง  หุ้นบางตัวสามารถซื้อได้ในราคาตลาดด้วยซ้ำ

 

แน่นอนว่าการลงทุนซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่คนกำลัง Panic หรือตระหนกตกใจว่าหุ้นทั่วโลกกำลังล่มสลายย่อมมีความเสี่ยงว่าหุ้นจะตกลงไปอีก  แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถรู้ได้แน่นอนว่าเมื่อไรหุ้นจะตกถึงพื้นและเป็น “ขาขึ้น” แล้ว  นักวิเคราะห์หลายคนมักจะแนะนำว่ารอให้หุ้นนิ่งหรือปรับตัวขึ้นไประยะหนึ่งก่อนค่อยซื้อก็ไม่สาย  ประเภทยอม “ขาดทุนกำไร” ไปบ้างดีกว่าที่จะเสี่ยงเข้าไปซื้อในยามที่หุ้นอาจจะตกหนักลงไปอีก  ประเด็นเหล่านี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน

 

จิตวิทยาของผมเองก็คือ  ผมกลัวว่าเวลาหุ้นปรับขึ้นไปเร็วมาก  ผมมักจะไม่ค่อยอยากซื้อ  และถ้ามันขึ้นไปอีกและไม่ลงมาอีกเลยผมก็อาจจะพลาดหุ้นตัวนั้นไปเลย  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก  ดังนั้น  ถ้าหุ้นที่เราคิดว่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกตกลงมาจนถึงราคาที่เหมาะสมแล้ว  ผมก็จะซื้อและถือว่านั่นเป็น  “โอกาส” ที่เกิดขึ้นที่เราจะต้องฉวยไว้  และถ้ามันตกลงไปอีกก็ไม่ต้องเสียใจหรือเสียดายที่ซื้อเร็วเกินไป  เพราะอนาคตมันอาจจะโตไปอีกมากจนราคาที่เราจ่ายมากไปหน่อยไม่มีความหมาย