Evergrande เมื่อยักษ์อสังหาจีนล้ม โลกจะสะเทือนหรือไม่

20 ก.ย. 2564 | 14:59 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2564 | 22:06 น.
3.2 k

บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor ) ชั้นแนวหน้า

ข่าวเกี่ยวกับบริษัทเอเวอร์แกรนด์กรุ้ป  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศจีนในด้านของยอดขาย กำลังจะผิดนัดชำระหนี้และอาจจะต้องประกาศล้มละลายถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน  ทำให้เกิดการปั่นป่วนไปทั่วตลาดการเงินและตลาดหุ้นของจีน-และโลก  เหตุผลก็เพราะว่านี่คือบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้น่าจะ  “มากที่สุดในโลก” บริษัทหนึ่ง  โดยคาดว่าจะมีหนี้ถึง 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 10 ล้านล้านบาทไทย การล้มละลายจะทำให้บริษัทเจ้าหนี้ทั้งที่เป็นซับพลายเออร์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้จำนวนมากล้มไปด้วยหรือไม่  

นอกจากนั้น  ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนจะตกต่ำลงจนก่อให้เกิดปัญหาตามมามากน้อยแค่ไหน  และสุดท้ายแล้วก็คือ  จะเกิด “วิกฤติ” ทางการเงินและตลาดหุ้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นในไทยเช่นกรณีต้มยำกุ้งในปี 2540 และในโลกอย่างในกรณีของซับไพร์มในสหรัฐปี 2551 หรือไม่  นี่เป็นสิ่งที่จะคุยกัน


 

ผมคิดว่าสถานการณ์การล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์นั้นน่าจะมีความคล้ายคลึงกับเลย์แมนบราเธอร์  บริษัทการเงินที่เข้าไป “ปล่อยสินเชื่อ” ให้กับคนที่เข้าไปเล่น “เก็งกำไร” จากการซื้อขายบ้านผ่านตราสารการเงินที่เป็นหนี้ที่มีบ้านเป็นหลักประกัน  โดยคนที่เข้าไปซื้อบ้านนั้นจำนวนมากไม่ได้มีฐานะหรือรายได้เพียงพอที่จะซื้อบ้าน แต่ซื้อเพราะมีสถาบันปล่อยกู้ให้  พวกเขาซื้อเพราะเห็นว่าบ้านมีราคาเพิ่มขึ้นเร็ว  ถ้าผ่อนไม่ไหวก็สามารถขายต่อมีกำไร  

เลย์แมนบราเธอร์ก่อนที่จะล้มละลายมีการกู้เงินและสินทรัพย์ประมาณ 600,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 20 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 2 เท่าของเอเวอร์แกรนด์ในวันนี้  แต่มีทุนเพียง 20,000 ล้านเหรียญ  หรือมีหนี้เป็น 30 เท่าของทุน  ดังนั้น  ในทางเทคนิคแล้ว  ถ้าราคาของอสังหาริมทรัพย์ลดลงแค่ 3-5% เงินทุนก็จะหายไปหมด  ล้มละลายทันที  และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของอเมริกา  “แตก” นั่นคือคนไม่มีปัญญาผ่อนและต้องถูกบังคับขายอสังหาริมทรัพย์ทิ้งซึ่งทำให้ราคาลดลงและทำให้คนที่ยังผ่อนอยู่ก็ขายต่อเนื่องกันเป็นเป็นทอด ๆ

ในกรณีของเลย์แมนนั้น  วิธีการ “ให้กู้” ที่กล่าวถึงนั้น  ที่จริงเป็นเรื่องของการออกตราสารหนี้มาแทนเงินกู้คุณภาพต่ำเรียกว่า “ซับไพร์ม” ที่ซับซ้อนมากและมีการขายตราสารเหล่านั้นออกไปซึ่งก็มีสถาบันการเงินอื่นซื้อต่อและขายต่อไป ว่าที่จริงตราสารเหล่านั้นไม่ใช่ออกเฉพาะโดยเลย์แมนแต่มีสถาบันการเงินอื่นออกกันมากมายเป็นระบบ มันเป็นเครื่องมือการลงทุนที่แปลงจากการปล่อยกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบ้านอยู่อาศัยของคนทั่ว ๆ ไปมาเป็นตราสารทางการเงินที่เอาไปซื้อขายกันในตลาดคล้าย ๆ  กับหุ้นหรือพันธบัตร ดังนั้น คนที่เกี่ยวข้องซึ่งส่วนใหญ่ก็คือสถาบันก็เจ๊งหรือ

ขาดทุนมหาศาลไปด้วยเมื่อฟองสบู่อสังหา “แตก” ซึ่งคนที่ “จุดประกาย” ก็คือเลย์แมนบราเธอร์

ในกรณีวิกฤติปี 40 ของไทยเองนั้น  ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่ร้อนแรงมากก่อนปี 2540 นั้น  น่าจะเกิดจากการที่เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตสูงมาก  คนรุ่นเบบี้บูมที่กำลังมั่งคั่งขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มแต่งงานและมีลูกเล็กจึงต้องการที่อยู่อาศัยที่เป็นของตนเองมากขึ้น  คอนโดมีเนียมซึ่งเป็น  “ของใหม่” ที่คนไทยไม่คุ้นเคยก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น  ดังนั้น อสังหาริมทรัพย์จึงบูมมาก  มีการเปิดโครงการที่เปิดให้จองเพียงวันเดียวก็มีคนจองหมดและคนที่พลาดจะต้องไป “ซื้อใบจอง” ต่อจากคนที่อาจจะไปเข้าคิวรอ “ตั้งแต่ตีสี่”  บริษัทอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นมากมายและขยายงานอย่างรวดเร็วโดยอาศัยการกู้เงินจำนวนมากจากสถาบันการเงินโดยเฉพาะที่เป็นบริษัทเงินทุน  และเงินที่กู้ในช่วงนั้นจำนวนมากก็เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินบาทมาก  โดยที่ผู้กู้เองก็ไม่วิตกว่าค่าเงินบาทจะลดลงแล้วตนเองจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน  เพราะแบงก์ชาติใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบ  “คงที่”

อย่างไรก็ตาม  เมื่อภาวะเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงอย่างแรงอานิสงค์จากการส่งออกที่มีปัญหาไม่สามารถแข่งขันได้เพราะค่าเงินที่แข็งเกินไป  ประกอบกับการการลงทุนที่ขาดประสิทธิภาพเพราะลงทุนมากเกินไปในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนเพียงพอ  ส่งผลให้ฐานะการเงินของประเทศมีปัญหา  เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินอย่างหนักจนเงินสำรองเงินตราต่างประเทศแทบจะหมด  รัฐบาลจึงต้องยกเลิกการกำหนดค่าเงินคงที่และ “ลดค่าเงิน”   ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะคนที่กู้เงินดอลลาร์มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลได้  และนั่นก็ส่งผลต่อถึงสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ที่ต้อง “ล้ม” ตามไปด้วย  ดังนั้น  กรณีของวิกฤติปี 40 นั้น อสังหาริมทรัพย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติ  ไมได้เป็นตัวหลักอย่างในกรณีของซับไพร์ม  และในทั้งสองกรณีนั้น  มีความเกี่ยวโยงไปถึงระบบสถาบันการเงินสูงมาก

วิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้น  ถ้ามองย้อนไปในอดีต  ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเกิดจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งระบบ  ถ้าสถาบันการเงินถูกกระทบโดยเฉพาะจากการที่ลูกหนี้มีปัญหาซึ่งอาจจะทำให้สถาบันการเงินล้มละลาย  ผู้ให้กู้หรือผู้ฝากเงินขาดความไว้วางใจก็จะถอนเงินออกทำให้สถาบันการเงินขาดสภาพคล่องและก็จะล้มละลายทันที   และการล้มละลายของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาต่อสถาบันอีกแห่งหนึ่งด้วยเพราะสถาบันการเงินต่างก็มักจะมีรายการกู้ยืมระหว่างกันจำนวนมาก  สถาบันการเงินที่ไม่มีปัญหาในช่วงแรกก็จะมีปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่  และแน่นอนว่าถ้าสถาบันการเงินทั้งระบบมีปัญหา  เศรษฐกิจทั้งระบบก็มีปัญหา  ผลก็คือ  เกิดความเสียหายทั้งระบบ  กลายเป็นวิกฤติระดับชาติหรือบางครั้งนานาชาติ  การขาด “สภาพคล่อง” ทางการเงินจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติได้ง่าย

ในกรณีของเอเวอร์แกรนด์นั้น  บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งมีการเติบโตร้อนแรงมาต่อเนื่องยาวนานอานิสงค์จากการที่จีนมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วมากที่ทำให้คนจีนมีรายได้มากขึ้นมากและต้องการซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์  ไม่ใช่แค่อยู่อาศัย  แต่ถือว่าเป็นการลงทุนด้วย  ดังนั้น  อุตสาหกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ  จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากและมีสัดส่วนใน GDP สูงมากถึงประมาณ 10 สิบเปอร์เซ็นต์  และลูกหนี้เงินกู้ของธนาคารจำนวนมหาศาลก็เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้  

อย่างไรก็ตาม  การเพิ่มขึ้นของราคาของอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่อาจจะเป็น “ฟองสบู่” ในหลาย ๆ  เมือง  และนักวิเคราะห์บางคนก็มองว่ามีโอกาสที่ฟองสบู่อสังหาจีนอาจจะ “แตก” ได้ในวันหนึ่ง  และถ้าฟองสบู่แตก  ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนอาจจะเกิด “วิกฤติ” อย่างที่เคยเกิดในหลายแห่งทั่วโลก 

การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศและมีหนี้มหาศาลนั้น  หลายคนคิดว่ามันอาจจะเป็นตัว “จุดประกาย” ให้เกิดวิกฤติตามมาถ้าไม่มีคนมาช่วยแก้ไขไม่ให้บริษัทล้มละลายซึ่งจะส่งผลต่อคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมากรวมถึงสถาบันการเงินและนักลงทุนของบริษัท  นาทีนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีใครนอกจากรัฐบาลจีนที่จะสามารถเข้ามากู้หรือแก้ไขปัญหานี้ได้ ในส่วนตัวผมเองนั้น  ผมคิดว่าสิ่งที่จะเป็นไปน่าจะออกในแนวทางดังต่อไปนี้

ข้อแรกก็คือ  ผมคิดว่าเอเวอร์แกรนด์น่าจะ “ไม่รอด” เมื่อคำนึงถึงนโยบายของสีจิ้นผิงเมื่อเร็ว ๆ  นี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เน้น “ทุนนิยม” และเอื้อต่อธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นการเน้นสร้างความเท่าเทียมให้กับประชาชน  ดังนั้น  ผมคิดว่ารัฐบาลจีนคงปล่อยให้เอเวอร์แกรนด์ล้มละลายและรัฐบาลก็จะดูแลแค่ลูกค้ารายย่อยที่ซื้อบ้านของบริษัท  ส่วนเจ้าหนี้รายใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการเงินและนักลงทุนในตลาดทุนก็จะต้องรับผิดชอบความเสียหายกันเอง

ข้อสองก็คือ  ผมคิดว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าหนี้นั้น  น่าจะมีจำนวนมาก และไม่น่าจะมีรายไหนที่จะปล่อยกู้มากจนเสียหายหนักขนาดที่จะล้มได้อันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับเอเวอร์แกรนด์รวมถึงซัพพลายเออร์ซึ่งก็น่าจะกระจายไปมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น การล้มต่อเนื่องน่าจะมีน้อย

สุดท้ายก็คือ “ฟองสบู่” ของอสังหาริมทรัพย์จีนนั้น คงไม่แตกเพราะเอเวอร์แกรนด์เจ๊ง ผมคิดว่าอุตสาหกรรมอสังหาของจีนใหญ่กว่าขนาดของเอเวอร์แกรนด์มาก  ราคาของอสังหาอาจจะปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อมีการ “ชำระบัญชี” คือการตัดขายสินทรัพย์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วซึ่งแน่นอนว่าในราคาที่ลดลง  แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินของจีนซึ่งก็น่าจะคล้ายสถานการณ์ของโลกที่สูงมากในช่วงนี้  ก็น่าจะทำให้มีคนต้องการซื้ออสังหาที่ถูกเทขายออกมามาก

ผลก็คือ  คนที่ถือทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่อาจจะไม่ได้ขาดทุนรุนแรงและก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งระบบ  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  กรณีของเอเวอร์แกรนด์ไม่น่าจะก่อวิกฤติอะไรต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนของจีนและของโลก