*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,081 ระหว่างวันที่ 23-26 มี.ค. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ขอพาท่านผู้อ่านไปเกาะติดสถานการณ์ “เศรษฐกิจไทย” ในช่วงต้นปี 2568 มานี้ มีข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ ที่ถือเป็นทั้ง “ข่าวดี” และ “ข่าวร้าย” ของประเทศไทย ไปดู “ข่าวดี” กันก่อน เป็นกรณีของ “ชาวต่างชาติ” ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 68) อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ออกมาให้ข้อมูลว่า มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 181 ราย แบ่งเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 41 ราย และ การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ 140 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 35,277 ล้านบาท
*** การอนุญาต ใน 2 เดือนแรก ปี 2568 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 73 ราย คิดเป็น 68% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 8,738 ล้านบาท คิดเป็น 33% โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 38 ราย คิดเป็น 21% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ธุรกิจบริการบริหารจัดการการสั่งซื้อและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
2. จีน 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
3. สิงคโปร์ 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนายางรถยนต์ ธุรกิจบริการ Data Center และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
4. สหรัฐอเมริกา 19 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวก ในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
และ 5. ฮ่องกง 16 ราย คิดเป็น 9% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
*** ส่วนการลงทุนในพื้นที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 68) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุน 57 ราย คิดเป็น 31% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 22 ราย (63%) สำหรับมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 17,546 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดย เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 19 ราย ลงทุน 8,096 ล้านบาท จีน 14 ราย ลงทุน 2,751 ล้านบาท สิงคโปร์ 8 ราย ลงทุน 2,191 ล้านบาท ประเทศอื่นๆ อีก 16 ราย ลงทุน 4,508 ล้านบาท
*** ที่ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้า แม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงาน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป แม่พิมพ์ เป็นต้น
*** เมื่อมี “ข่าวดี” อีกด้านก็มี “ข่าวร้าย” โดย อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้ข้อมูลสถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือน ก.พ. 2568 พบมีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,529 ราย ลดลง 579 ราย คิดเป็น 7.14% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 ที่มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,108 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 16,335 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 628 ราย มูลค่าทุน 1,340 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 473 ราย ทุน 2,117 ล้านบาท ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 339 ราย ทุน 610 ล้านบาท ขณะที่การจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 2 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.พ. 68) มี 16,391 ราย ลดลง 879 ราย คิดเป็น 5.09% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มี 7,270 ราย ทุนจดทะเบียน 41,285 ล้านบาท ลดลง 4,509 ล้านบาท คิดเป็น 9.85%
ส่วนการเลิกประกอบกิจการเดือน ก.พ. 2568 มี 787 ราย เพิ่มขึ้น 81 ราย คิดเป็น 11.47% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 มี 706 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 2,417 ล้านบาท ลดลง 730 ล้านบาท คิดเป็น 23.19% สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 76 ราย ทุน 112 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 35 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 131 ล้านบาท ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 34 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 96 ล้านบาท ยอดการจดทะเบียนเลิกสะสม 2 เดือนของปี 2568 มีจำนวน 2,218 ราย เพิ่มขึ้น 320 ราย คิดเป็น 16.86% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มี 1,898 ราย ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 7,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 656 ล้านบาท คิดเป็น 10.31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
*** ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 28 ก.พ. 68) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวมทั้งสิ้น 1,981,221 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 935,839 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.39 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น บริษัทจำกัด 737,891 ราย (78.85%) ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.36 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 196,465 ราย (20.99%) ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท บริษัทมหาชนจำกัด 1,483 ราย (0.16%) ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.60 ล้านล้านบาท
สำหรับนิติบุคคลใน “กลุ่มธุรกิจบริการ” เป็นประเภทธุรกิจ ที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุด จำนวน 505,501 ราย ทุนจดทะเบียน 13 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 306,896 ราย ทุน 2.54 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 123,442 ราย ทุน 6.84 ล้านล้านบาท
*** อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชี้ว่า แม้ตัวเลขการจดทะเบียนนิติบุคคลในเดือน ก.พ. 2568 และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาดูจะ “ชะลอตัว” เพื่อรอดูสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก แต่หากวิเคราะห์ในเชิงลึกจะเห็นว่า อัตราการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดเลิกในปี 2568 อยู่ที่ 7:1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่า 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ที่มีสัดส่วน 4:1 หรือตั้ง 4 ราย เลิก 1 ราย
*** ไหนๆ ก็ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ไปดูต่อกันที่ “ราคาทองคำ” สำหรับใครที่สะสมทองคำไว้ คงจะชื่นชอบข่าวนี้ เพราะเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ทาง สมาคมค้าทองคำ รายงานว่า ช่วงเช้า (19 มี.ค. 68) ราคาเปิดตลาดทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทองคำแท่ง ขายออกบาททองคำละ 48,250 ส่วนราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาททองคำละ 49,050 บาท ปรับขึ้นจาก 18 มี.ค. 68 250 บาท โดยราคาทอง ตลาดเอเชีย เคลื่อนไหว 3,032.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในขณะที่สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร (18 มี.ค.) โดยตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 34.70 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 3,040.80 ดอลลาร์/ออนซ์
*** ปัจจัยที่ทำให้ “ราคาทองคำ” พุ่งขึ้น มาจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนด้านการค้า อันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในขณะที่กองทัพอิสราเอล ได้กลับมาใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีฉนวนกาซาอีกครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 ราย บาดเจ็บหลายร้อยราย และถือเป็นการยุติข้อตกลงหยุดยิงระยะเวลา 2 เดือน กับ กลุ่มฮามาส
นอกจากนี้ “ทรัมป์” ขู่ว่าจะเดินหน้าโจมตีกลุ่มฮูตี จนกว่าจะยอมยุติการโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง และเตือนว่าอิหร่านจะต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีใด ๆ ในอนาคต และ “ทรัมป์” เองยังได้ประกาศเรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าสู่สหรัฐ ในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือน ก.พ. ทั้งเล็งใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า “ราคาทองคำ” จะพุ่งแตะระดับ 3,100 ดอลลาร์ ภายใน 3 เดือน และอาจไปที่ 3,200 ดอลลาร์ภายในปีนี้...