รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม 2567 เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่อนโยบายภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของประเทศ ในบทความนี้ ผมจะอธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษี ทางเลือกที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ และผลกระทบของแต่ละทางเลือก
แรงกดดันต่อนโยบาย Tax Holiday ของ BOI
หัวใจของ พ.ร.ก. ฉบับนี้ คือ การจัดเก็บ "ภาษีส่วนเพิ่มในประเทศ" หรือ Qualified Domestic Minimum Top-up Tax (QDMTT) จากบริษัทข้ามชาติที่มีขนาดเกินกว่าที่กำหนด หากบริษัทเหล่านี้เสียภาษีในไทยต่ำกว่า 15% รัฐบาลไทยจะเก็บภาษีเพิ่มจนครบ 15%
ตัวอย่างเช่น หากบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทข้ามชาติจากจีน ได้รับ Tax Holiday และเสียภาษีในไทยเพียง 2% รัฐบาลไทยจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 13% เพื่อให้ครบ 15% หากไทยไม่ดำเนินการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มนี้ รัฐบาลจีน หรือ ประเทศอื่น อาจเรียกเก็บภาษีแทนผ่านกลไก Income Inclusion Rule (IIR) หรือ Undertaxed Profit Rule (UTPR) ซึ่งหมายถึงไทยอาจสูญเสียรายได้จากภาษีไปยังต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บภาษีส่วนเพิ่มดังกล่าว อาจลดทอนแรงจูงใจด้านภาษีที่ BOI ใช้ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อคงไว้ ซึ่งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ปัจจุบันไทยมีบริษัทลูกของต่างชาติประมาณ 5,000 บริษัท จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูล Orbis พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทเหล่านี้เข้าข่ายต้องปฏิบัติตาม Pillar 2 โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
ประเทศคู่แข่งปรับตัวอย่างไร
หลายประเทศกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายจาก Tax Holiday ไปสู่สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ลดแรงกดดันต่อการคำนวณอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate: ETR) ภายใต้กฎของ Pillar 2
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยม คือ Qualified Refundable Tax Credit (QRTC) ซึ่งเป็นการให้เครดิตภาษี และหากมีเครดิตเหลือสามารถขอคืนเป็นเงินได้ โดยข้อดีของแนวทางนี้ตามกฎของ Pillar 2 คือ การนับเครดิตภาษีเป็นรายได้ของบริษัท (Grant) แทนการลดภาษีโดยตรง ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อ ETR ได้
ในภูมิภาคอาเซียน สิงคโปร์และเวียดนาม เป็นสองประเทศที่ประกาศแนวทางอย่างชัดเจน :
สิงคโปร์ : รัฐบาลได้ออกมาตรการ Refundable Investment Credit (RIC) ซึ่งให้เครดิตภาษีระหว่าง 10%-50% ของค่าใช้จ่ายในหมวดต่าง ๆ เช่น การจ้างงาน การซื้อเครื่องจักร และ R&D หากใช้เครดิตไม่หมดภายใน 4 ปี สามารถขอคืนเป็นเงินได้
เวียดนาม : รัฐบาลได้จัดตั้ง Investment Support Fund ซึ่งให้เงินสนับสนุนแก่โครงการลงทุนที่เข้าเกณฑ์ โดยอัตราการสนับสนุนแตกต่างกันไปตามประเภทค่าใช้จ่าย บริษัทสามารถเลือกระหว่างการสนับสนุนค่าใช้จ่ายประจำปี (เช่น ค่าแรงงานสูงสุด 50%, การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสูงสุด 10%, และกิจกรรม R&D สูงสุด 30%) หรือ การสนับสนุนการลงทุนเบื้องต้นที่ให้เงินสนับสนุนสูงสุด 50% สำหรับกิจกรรม R&D
ทางเลือกของประเทศไทย
ผมขอแบ่งทางเลือกของประเทศไทยในระยะสั้น เป็น 3 แนวทางกว้างๆ (รูปประกอบ) ดังนี้
1.การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ลง 50% และขยายเวลาการลดอัตราเป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลกำลังพิจารณา โดยรัฐอาจใช้การลดภาษีนี้เพื่อบริหารให้ ETR ของบริษัทข้ามชาติใกล้เคียง 15% เพื่อลดแรงกดดันต่อ ETR
ข้อดีคือ รัฐไม่ต้องจัดสรรงบประมาณล่วงหน้า และไม่ต้องปรับเปลี่ยนระบบมากนัก แต่ข้อเสียคือ รัฐต้องคาดการณ์ภาระภาษีของธุรกิจเพื่อบริหารให้ ETR ใกล้เคียง 15% และอาจประเมินต้นทุนการคลังได้ยาก เนื่องจากต้นทุนขึ้นอยู่กับผลกำไรของธุรกิจในอนาคต
2.การให้เครดิตภาษีแบบ QRTC ตามแนวทางของสิงคโปร์ ข้อดีคือ ช่วยลดแรงกดดันต่อ ETR และรัฐสามารถประเมินต้นทุนการคลังได้ชัดเจน เนื่องจากมีการกำหนดวงเงินอุดหนุนที่แน่นอน ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใสทางการคลัง แต่ข้อเสียคือ รัฐต้องคาดการณ์ภาระภาษีของธุรกิจเพื่อจัดสรรงบประมาณล่วงหน้า ซึ่งอาจเพิ่มความยุ่งยากต่อการบริหารจัดการ
3.กลไกการให้เงินอุดหนุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งคล้ายกับแนวทางของเวียดนาม ข้อดีคือ ช่วยลดแรงกดดันต่อ ETR ทำให้รัฐสามารถประเมินต้นทุนการคลังได้ชัดเจน และไทยมีกฎหมายที่อนุญาตให้มีการจัดสรรรายได้จากภาษี Top-up มาสู่กองทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ข้อกังวลคือ อาจถูกตีความว่า รัฐจัดสรรเงินภาษี Top-up คืนให้บริษัทข้ามชาติ ซึ่งอาจขัดกับ Pillar 2 integrity และทำให้ OECD ไม่ยอมรับภาษี Top-up ของไทย ดังนั้น รัฐจึงต้องกำหนดเงื่อนไขการลงทุนที่เข้าข่ายได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนให้ชัดเจน
บทสรุป
ในความเห็นของผม เราควรมอง Pillar 2 และ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่มนี้ ให้เป็นมากกว่าการปรับตัวตามกติกาโลก โดยใช้เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับระบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีของไทย จากการแข่งขันด้วยการให้ Tax holiday ซึ่งต้นทุนการคลังขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธุรกิจในอนาคต ที่คาดการณ์ได้ยาก มาสู่การสนับสนุนการลงทุนที่มีความโปร่งใสมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนนี้จะช่วยให้ทั้งรัฐและภาคประชาชน สามารถติดตามและประเมินความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณในการส่งเสริมการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาวครับ