thansettakij
ทำไมจีนกล้าหรือสงครามโลกทางการค้าโลกมาถึงแล้ว!!!

ทำไมจีนกล้าหรือสงครามโลกทางการค้าโลกมาถึงแล้ว!!!

08 เม.ย. 2568 | 23:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2568 | 00:46 น.
7.0 k

ทำไมจีนกล้าหรือสงครามโลกทางการค้าโลกมาถึงแล้ว!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

***ประเทศจีนที่นำโดย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นประเทศใหญ่รายแรกและรายเดียวในตอนนี้ ที่กล้าประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 34% รวมไปถึงการถอนตัวจากดีลการขาย TikTok ให้บริษัทสหรัฐฯ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 10-49% จากประเทศที่ส่งสินค้าไปยังอเมริกาพร้อมกันทั่วโลก เมื่อวันที่ 2 เม.ย. นัยว่า เพื่อหวังบีบให้ประเทศคู่ค้า ที่ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของอเมริกาแค่ไหน ให้เข้ามาเจรจาภายใต้นโยบาย America First ของนายทรัมป์...

ว่าแต่ในกว่า 60 ประเทศที่โดนขึ้นภาษี ทำไมมี “จีน” แค่เพียงหนึ่งเดียวที่กล้า “งัดข้อ” กับพี่ใหญ่เมกา!!!  

อย่างแรก... หากยังจำกันได้จะพบว่า เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา การระบาดของเชื้อ Covid-19 ซึ่งส่งผลให้การค้าขายและขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ถูกระงับ รวมไปถึงการที่จีน “ปิดประเทศ” โดยห้ามประชาชนทั่วไปเดินทางเข้าออก 
รวมไปถึงการพึ่งพาเฉพาะทรัพยากรภายในของจีนโดยไม่รับและนำเข้าสินค้าจากภายนอก กลายเป็นการทดลอง “โดดเดี่ยวตนเอง” มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นจีนก็พิสูจน์แล้วว่า ยังอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีปัญหา 

อย่างที่สอง... หากประเมินจากปัจจัยเบื้องต้นจะพบว่า ด้วยจำนวนประชากรที่ในปัจจุบันมีมากกว่า 1.3 พันล้านคนของจีน รวมกับพันธมิตรที่โดนแบนจากอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ รวมถึงประเทศอื่นที่ยังคงค้าขายและมีธุรกิจรวมกัน ส่งผลให้จีนยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสินค้าเข้ามาจากสหรัฐ หรือหากยังมีสิ่งที่จีนต้องการจริงๆ และหากสหรัฐ ยอมขายให้...การจะซื้อแพงไปบ้างก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

อย่างที่สาม... เป็นเรื่องของความขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ไม่ว่าจะเป็นกรณีของไต้หวัน หมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ รวมไปถึงโครงการจีนเชื่อมโลก หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งสร้างอิทธิพลไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตอิทธิพลเดิมของสหรัฐฯ อย่างเช่นที่ ทวีปอเมริกาใต้ อาฟริกา เอเชีย รวมไปถึงหลายหมู่เกาะในขั้วโลกใต้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรี และความเป็นลูกพี่ใหญ่ที่จีน ได้พยายามสร้างและยังเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ที่อาจเสียหายถ้ายังยอมตามสหรัฐ 

ขณะที่จีนเองก็น่าจะเชื่อมั่นว่า ถึงแม้ครั้งนี้อาจหลีกเลี่ยงกระกระทบกระทั่งกับอเมริกาได้ ก็คงเป็นเพียงแค่ชั่วคราว ในอนาคตเรื่องเช่นนี้จะต้องกลับมาอีกอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ...หากมองในมุมของสหรัฐอเมริกา ในฐานะพี่ใหญ่ของโลก ที่ครองอำนาจมานานนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ก็อาจมองได้ว่า การที่จีนตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ คือ การท้าทายอำนาจของตน ซึ่งทรัมป์ประกาศว่า หากจีนไม่ยกเลิกการประกาศขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐ ภายในวันที่ 8 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่นที่สหรัฐ เขาจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 50% ในวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งอาจทำสินค้านำเข้าจากจีนในสหรัฐ ต้องโดนภาษีถึงร้อยละ 104 คือร้อยละ 20 เดิมที่เคยขึ้นภาษีจีนในกรณีการปล่อยให้เฟนทานิลไหลเข้าสหรัฐ บวกกับร้อยละ 34 ที่เป็นภาษีต่างตอบแทน ซึ่งจะบังคับใช้วันที่ 9 เม.ย. รวมไปถึงอีกร้อยละ 50 ที่สหรัฐ จะโต้กลับมาตรการภาษีตอบโต้จากจีน รวมแล้ว 20+34+50 กลายเป็น 104%

ขณะเดียวกัน หากมองในมุมของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอเมริกาเป็นประเทศผู้บริโภคที่อาศัยการนำเข้าสินค้า จนแทบจะไม่เหลือกิจกรรมการผลิตภายในประเทศ ซึ่งหากเกิดการเผชิญหน้าผ่านสงครามที่ต้องใช้กำลังทางการทหาร หากมีปัญหาสินค้าแพงเกินไป หรือ ถูกปิดล้อมทางภูมิศาสตร์ จนเกิดปัญหาในการนำเข้าสินค้าจากภายนอก เรื่องนี้จะกลายเป็นจุดด้อยในทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาขึ้นมาทันที 

ดังนั้น การที่อเมริกาพยายามดึงกิจกรรมการผลิตทุกชนิดกลับเข้าประเทศ จึงถือได้ว่าเป็นความพยายามในการปิดจุดบกพร่องที่ว่านี้นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม...เจ๊เมาธ์เชื่อว่า สำหรับกรณีของจีน ถึงแม้ในตอนนี้อเมริกาจะยังไม่มีการประกาศมาตรการอื่น นอกไปจากเรื่องของการขึ้นภาษีไปเรื่อยๆ แต่เจ๊เชื่อได้ว่า อีกไม่นานต้องมีมาตรการอื่น ที่อเมริกาจะต้องผลักดันออกมา เพื่อกำราบจีนให้ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเอมริกาให้ได้ตามออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน 

บอกเลยว่า เจ๊เมาธ์ก็เริ่มมองเห็นเค้าลางๆ ว่า ความพยายามที่ผ่านมาในการประวิงเวลา เพื่อรอความพร้อมของทั้ง อเมริกา และจีน ได้ทำกันมานานใกล้ถึงจุดแตกหัก และไม่ว่าสงครามไหน...แทบทุกอย่างมักจะเริ่มต้นจากการเผชิญหน้ากันแบบจริงจัง ผ่านสงครามการค้า ก่อนที่จะกลายเป็นการเผชิญหน้าผ่านสงครามตัวแทน และอาจกลายเป็นคู่สงครามกันในอนาคต เช่น กรณีของอเมริกา และ จีน อาจเริ่มต้นจากกรณีของเกาะไต้หวัน ซึ่งกำลังเข้มงวดขึ้นมาทุกทีก็เป็นได้ 

“ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ” อย่าไปคิดว่านี่เป็นแค่สงครามการค้า...บอกเลยว่า ไม่ใช่แค่อเมริกา และ จีน ที่กำลังเตรียมความพร้อม ประเทศไทยของเราก็ควรเตรียมตัวหาทางออกเอาไว้...ใครจะไปรู้ว่า ถ้าไม่สนใจ เราอาจเสียหายหนักมากกว่า “ขาใหญ่” ก็เป็นได้เจ้าค่ะ