เมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมวุ่นวายอยู่กับการบินไปโน้นมานี่ เดินทางตลอด ทุกอาทิตย์จนเกือบจะไม่ได้อยู่บ้านเลย จนภรรยาแทบจะเอากระเป๋าเดินทางไปวางไว้ที่โรงรถแล้วครับ แต่การไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านสองสามประเทศในครั้งนี้ ทำให้ได้รับความรู้และประโยชน์มากมายเลยครับ
ในสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปประชุมเรื่อง “การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการค้า-การลงทุนในเขตลุ่มแม่น้ำโขง-ล้านช้าง” ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ณนครคุนหมิง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาที่มาจาก 6 ประเทศครบทุกประเทศที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่าน ที่น่ายินดีคือได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายท่าน มีทั้งจีน เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งมาจากเมืองหลวงน้ำทา สปป.ลาว
ซึ่งอันที่จริงแต่ละประเทศเขาก็ส่งผู้แทนมาร่วมหลายท่าน ประเทศไทยเราก็มีมาจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานตัวแทนจากสื่อมวลชน รวมแล้วก็เกือบ 10 ท่าน ส่วนประเทศสปป.ลาวเท่าที่เห็นก็มาเกิน 10 ท่าน ประเทศเมียนมาก็ 10 กว่าท่าน ที่มาน้อยมากก็จะเป็นมาจากประเทศเวียดนาม ส่วนใหญ่จะมาจากภาคเอกชนเกือบทั้งสิ้น จะมีเพียงตัวแทนจากเมียนมา ที่มีทั้งภาครัฐและเอกชน
ผมและเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมเจ้าภาพจึงเชิญสมาชิกจากประเทศเมียนมาให้เข้ามาร่วมประชุมเยอะมาก ที่มาจากภาคเอกชนก็เป็นตัวแทนของสภาหอการค้าและอุตสาหกรรม และตัวแทนจากภาครัฐก็เป็นระดับอธิบดีกรมส่งเสริมการค้า-การลงทุนระหว่างประเทศ กระทรวงการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งตอนแรกเราก็คาดเดาไม่ออกว่า เขาจะมาส่งเสริมให้ประเทศเพื่อนบ้านไปลงทุนในประเทศเขาได้อย่างไร? เพราะสถานการณ์ความไม่สงบในเขตชายแดน ยังคงคุกรุ่นอยู่มาก ทำให้ด่านชายแดนหลายด่าน โดยเฉพาะด่านสำคัญเช่นด่านมู่เจ-หยุ่ยหลี่ ยังคงไม่สามารถเปิดให้ดำเนินการได้สะดวกเหมือนก่อนได้ แต่พอจบการสัมมนาเราจึงได้พบคำตอบครับ
สิ่งที่ได้เห็นในการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ คือการที่ประเทศเจ้าภาพเขาให้เกียรติกับประเทศเมียนมามาก ผมจึงแอบกระซิบถามเพื่อนที่เป็นผู้จัดการสัมมนาถึงสาเหตุ เขาก็ตอบมาว่า เป็นเพราะว่าเขาเห็นความสับสนวุ่นวาย ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ทำให้สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของเมียนมาย่ำแย่มาก หากเพื่อนบ้านของเขา (ประเทศเมียนมา) มีปัญหา เขานิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ แล้วประเทศเมียนมาจะอยู่ได้อย่างไร? นี่เป็นคำตอบที่โดนใจผมมาก สมกับคำพังเพยที่ว่า “เพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด ยังดีกว่าญาติสนิทที่อยู่ห่างไกล” จริงๆ ครับ
ในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ เขาเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศขึ้นเวทีไปโปรโมทชักชวนประเทศเพื่อนบ้าน เข้าไปลงทุนที่ประเทศของตนเอง ในโปรแกรมที่เขาส่งมาให้เรา ตอนแรกเขาเชิญแต่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยขึ้นเวทีโปรโมท ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเขาไม่ได้จัดให้ขึ้นเวที เพราะเขาคงคิดว่าเป็นตัวแทนจากประเทศไทยเหมือนกัน แต่ตอนหลังถึงมาบอกผมว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งของโปรแกรม บริษัทของประเทศเจ้าภาพที่ได้รับเชิญ เดินทางมาไม่ทันงาน จึงมีช่องว่างอยู่หนึ่งช่วง ขอให้ผมขึ้นเวทีบรรยายการลงทุนได้หรือไม่? ซึ่งผมเลยตกกระไดพลอยโจน รับปากไปเลยครับ
สิ่งที่ผมพูดในวันนั้น ผมก็ถือโอกาสเชิญชวนผู้ประกอบการจีน ให้เข้ามาลงทุนทางตรงในประเทศไทย โดยสามารถติดต่อมาที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ เพราะเอกชนที่ลงทุนทางตรงในประเทศไทยส่วนใหญ่ จะเป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเรามีสมาชิกมากถึง 16,000 ราย จะเห็นว่าสภาอุตสาหกรรมฯมีความพร้อมในการช่วยเหลือประกอบการได้เป็นอย่างดีครับ
ส่วนที่เป็นตัวแทนจากประเทศเมียนมา เอกชนเขาขึ้นเวทีนั้น มีทั้งสาขาการขนส่งและโลจิสติกส์สถานการศึกษาที่มีทั้งหมด 3 สถาบันที่มาร่วมงาน และผู้ประกอบการสาขาก่อสร้าง และในส่วนของภาครัฐ ท่านอธิบดีกรมส่งเสริมการค้า-การลงทุนขึ้นมาบรรยาย แน่นอนว่าเขาบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งถึงแม้ทางผู้จัดงานจะมีล่ามภาษาแปลให้เป็นภาษาจีน แต่เท่าที่ผมได้รับฟังนั้น ก็แปลไม่ได้ครอบคุมทั้งหมด จึงคิดว่าน่าเสียดายมาก เพราะจะได้ผลไม่เต็มที่เท่าที่ควรเลยครับ
ทางภาครัฐของเมียนมา เขาพยายามที่จะชักชวนผู้ประกอบการจีน เข้าไปลงทุนแบบยั่งยืนในประเทศเมียนมา เขาเองก็ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีนักลงทุนเข้าไปฉกฉวยโอกาสในการลงทุนจากประเทศเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มมิจฉาชีพ ที่ฝังตัวอยู่ตามชายแดนจีน-เมียนมา แต่สิ่งที่เมียนมาต้องการนั้น เขาต้องการให้เข้ามาแบบถูกต้องตามกฎหมาย และลงทุนทางตรงที่ยั่งยืน เขาพูดถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรด้านเกษตรพื้นฐาน ที่รอให้นักลงทุนเข้าไปช่วยพัฒนาให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรมในอนาคต หรือทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเล ที่เขามีมากมายและอุดมสมบูรณ์อย่างมาก รอเวลาให้ผู้ประกอบการเข้าไปดำเนินการผลิต และอีกหลายๆ เรื่องที่พูด ผมเองก็ไม่ได้จดจำได้ทั้งหมดครับ
อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดเชิญชวนนั้น หากเป็นสถานการณ์บ้านเมืองที่ปกติ นั่นเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะไปลงทุนทั้งนั้น หรือถ้าหากผมสามารถย้อนเวลาไปได้สักสามสิบปี ถ้าหากผมอายุสัก 40 ปี ผมคงกระโดดเข้าใส่แล้ว แต่เสียดายที่ผมอายุมากแล้ว ใกล้จะถึงฝั่งแล้ว ขืนเข้าไปรอเวลาที่ประเทศเมียนมาสงบสุข ผมคงไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนแล้วละครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ในการสัมมนานั้น ผมก็สามารถเข้าใจถึงสัจธรรมที่ว่า ญาติเราถ้าอยู่ห่างไกล เวลาที่เราประสบปัญหาจริงๆ ถึงแม้เขามีใจอยากจะช่วยเรา แต่ด้วยระยะทางที่ไกลห่าง และปัญหาจิปาถะเขาคงมาช่วยเราไม่ทัน ไม่เหมือนเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิด มีอะไรเรายังตะโกนเรียกหากันได้ หรือยังเข้ามาช่วยเราทันครับ ดังนั้นจงสร้างมิตรไมตรีกับเพื่อนบ้านเราไว้ครับ ให้ทำเสมือนเขาเป็นญาติเราคนหนึ่ง แล้วจะเกิดอานิสงส์ในภายหลังครับ