BTS เพิ่ม...เพื่ออนาคต!!!

07 ส.ค. 2567 | 07:00 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ส.ค. 2567 | 07:25 น.

BTS เพิ่ม...เพื่ออนาคต!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** หลังจาก BTS ประกาศแผนเพิ่มทุนทั้งในส่วนตัวของบริษัทฯ รวมไปถึงบริษัทลูกอย่าง VGI และ RABBIT แม้ว่าอาจจะมองกลับทางไปจากนักวิเคราะห์หลายสำนัก แต่มุมมองการเติบโตของบริษัทแห่งนี้ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นไม่น้อย ในสายตาของเจ๊เมาธ์อย่างไม่ต้องสงสัย

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักก่อนว่า แผนการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ ที่อาจเรียกได้ว่าจะพลิกสถานการณ์ของ BTS มีอะไรบ้าง???

 

เรื่องแรก คือ การที่ BTS เตรียมตั้งโต๊ะเสนอซื้อหุ้น ROCTEC จำนวน 6,716.524 ล้านหุ้น (82.74%) ในราคา 1.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 6,716.524 ล้านบาท รวมไปถึงเตรียมตั้งโต๊ะเสนอซื้อหุ้น RABBIT เป็นหุ้นสามัญจำนวน 5,481 ล้านหุ้น (17.23%) และหุ้นบุริมสิทธิจำนวน 8,109.121 ล้านหุ้น (25.49%) ในราคา 0.60 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8,154.075 ล้านบาท 

โดยที่ทาง BTS ก็จะขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ Right Offering (RO) จำนวน 2,926.142 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 4.5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 13,167 ล้านบาท เงินที่ได้จะเอาไปใช้รองรับการตั้งโต๊ะเสนอซื้อหุ้น ROCTEC และ RABBIT เป็นหลัก

เรื่องที่สอง คือ การอนุมัติให้ VGI เพิ่มทุนเพื่อเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจ Virtual Bank ด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 4 ราย รวมจำนวน 8,805.48 ล้านหุ้น ในราคา 1.50 บาท ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ BTS ใน VGI ลดลงจาก 61.13% เหลือ 34.23% คิดเป็นมูลค่าราว 13,200 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย

1. กองทุน CAI Optimum Fund VCC บริหารจัดการโดย Capital Asia Investments Ptd. Ltd. 

2. กองทุน Si Suk Alley Limited บริหารจัดการโดย Argyle Street Management Limited 

3. กองทุน Opus-Chartered Issuances S.A. บริหารจัดการโดย Agmoni Eyal, Bartelloni Andrea, Maier Daniel, Melizzi Nicola, Perin Paolo, Wenkel Tobias 

4. กองทุน Asean Bounty ซึ่งอยู่ระหว่างจัดตั้ง บริหารจัดการโดย Finansia Investment Management

โดยประเด็นที่นักวิเคราะห์หลายสำนักเป็นกังวล ก็คือ การเพิ่มทุนของ BTS ในครั้งนี้ ส่งผลให้มี EPS ลดลงไปถึง 18% และอาจยังมีผลกระทบในทางลบต่อกำไรของ BTS อีกด้วย ขณะเดียวกัน ยังมองว่าธุรกิจ Virtual Bank ที่ VGI จะลงทุนมีความเป็นไปได้ที่จะต้องขาดทุนอย่างน้อย 1-2 ปี

แต่ในมุมมองของเจ๊เมาธ์...กลับมองต่างออกไป!!!

อย่างแรก คือ การที่ BTS จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Virtual Bank ผ่านทางบริษัทลูกอย่าง VGI ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ มองว่า เป็นการก้าวข้ามไปสู่ธุรกิจใหม่ ที่มีอนาคตมากกว่าการจมอยู่กับธุรกิจเดิมของ BTS 
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรถไฟฟ้า หรือ ธุรกิจอสังหาฯ รวมไปถึงธุรกิจของ VGI ซึ่งยังผูกอยู่กับ BTS ซึ่งนับวันมีแต่จะเข้าทางตัน เนื่องจากจำนวนประชากรของประเทศที่แทบจะคงที่ จนส่งผลต่อรายได้ของกลุ่มบริษัทในระยะยาว 

แม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นของ BTS ใน VGI อาจลดสัดส่วนลง...แต่ก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิม ดังนั้น การส่งเสริมให้ VGI โตขึ้นได้ก็ไม่ต่างไปจากการที่ BTS จะโตขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างที่สอง เป็นเรื่องความกังวลใจว่า ธุรกิจ Virtual Bank ที่ VGI อาจจะต้องขาดทุนอย่างน้อย 1-2 ปี เรื่องนี้เจ๊เมาธ์ ก็มองว่า กลุ่มคนที่คิดเป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่ยังคิดจะกินแต่บุญเก่า ไม่ชอบและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการคิดว่าการทำธุรกิจใหญ่ จะต้องมีกำไรทันที บอกเลยว่าเรื่องนี้เจ๊เมาธ์ไม่เคยเห็นและไม่เห็นด้วย

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของการเตรียมตั้งโต๊ะเสนอซื้อหุ้น RABBIT แม้ว่า ในส่วนของการซื้อ RABBIT เข้ามาจะทำให้ BTS จำเป็นที่จะต้องรับรู้การขาดทุนเข้ามาด้วย แต่เนื่องจากความเกี่ยวเนื่องในธุรกิจที่ BTS มีต่อ RABBIT ก็มีติดมาแต่เดิมอยู่แล้ว ดังนั้น การที่จะดึงเข้ามาเพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างเต็มรูปแบบ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในทางออกที่ BTS สามารถทำได้ 

เรื่องที่สี่ เป็นในส่วนของการเตรียมตั้งโต๊ะเสนอซื้อหุ้น ROCTEC ขณะที่ทั้ง BTS และ VGI ต่างก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยที่บริษัทฯ นี้มีกำไรในปีบัญชี 2567 (สิ้นสุด 31 มี.ค. 2567) อยู่ที่ 303.95 ล้านบาท) ดังนั้น เหตุผลจึงไม่ต่างไปจากการซื้อ RABBIT เพียงแต่ไม่จำเป็นที่จะต้องมากังวลกับเรื่องของการรับรู้การขาดทุนเท่านั้น

ท้ายที่สุด เป็นความกังวลว่า BTS อาจเพิ่มทุนไม่สำเร็จ เนื่องจากราคาหุ้นที่เพิ่มทุนต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน (4.50 บาท) เรื่องนี้ก็ใช่ว่านักวิเคราะห์จะไม่รู้ว่า การขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ RO ในสัดส่วน 4.5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ยังต้องรอไปจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งกว่าที่จะถึงตอนนั้น ราคาหุ้นหน้ากระดานของ BTS จะอยู่ที่เท่าไหร่ก็ยังไม่มีใครรู้

ขณะที่กระบวนการปรับขึ้นหรือลงของราคาหุ้นแค่ 10% ก็ไม่ได้สูงมากนัก ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า BTS มั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มทุนได้สำเร็จ 
เจ๊เมาธ์มองว่า การหาช่องทางที่ดีขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องที่บริษัททุกแห่งจะต้องคิดอยู่ตลอด ไม่ใช่หวังแค่กินบุญเก่า ส่วนจะถูกใจใครหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงแนะนำว่าควรรอดูและศึกษาข้อมูลไปก่อน ชอบก็ตาม...ไม่ชอบหรือไม่มั่นใจก็ข้ามไป เรื่องก็มีอยู่เท่านี้เองเจ้าค่ะ