ตำนานคนกตัญญู​กตเวที​ ที่สังคมไทยชื่นชม

01 มี.ค. 2567 | 04:30 น.

ตำนานคนกตัญญู​กตเวที​ ที่สังคมไทยชื่นชม คอลัมน์ สังฆานุสติ โดย บาสก

สังคมไทย​ในปัจจุบัน​ ถ้ามองจากสื่อมวลชนมุมหนึ่ง​ หรือเหรียญด้านหนึ่ง​ ดูช่าง​ยุ่ง ยิ่งกว่ายุงตีกัน​ เพราะมีแต่เรื่องที่ชวนให้หดหู่ บางทีแค่มองหน้า​ ก็ฆ่ากันตาย​ หรือสังคมอีกระดับหนึ่ง​ ก็เต็มไปด้วยทุจริต​ คอร์รัปชัน​ แม้กระทั่งในวงการศาสนาก็ไม่เว้น

ท่านว่าปัญหา​เหล่านี้​ เกิดจากหลายปัจจัย​ เช่น ละเลยศีลธรรมอันดี​และขาดความกตัญญู​ต่อแผ่นดินหรือคนที่ควรเคารพ​ก็ไม่สนใจที่จะเคารพกลายเป็นสังคมที่ผุกร่อน​ ต้องหาช่างมาปะผุ​ก่อนสลาย​แล้วแก้ไม่ได้

ในฐานะที่อยู่ในสายธรรมะ​ หรือศาสนา​ก็ต้องการให้ใช้ธรรมเป็นยาวิเศษมาเยียวยา​ ก่อนสายเกินแกง

หลักธรรมะ​ ที่ผมว่าน่าจะช่วยเยียวยาสังคม​ ไม่ให้ผุกร่อนมากกว่านี้​ คือความกตัญญูกตเวที ให้คนดีต้องกตัญญู​ ต่อชาติ​ ศาสนา​ พระมหากษัตริย์

แม้ว่าคนที่มีความกตัญญูกตเวที จะถูกจัดให้อยู่ในประเภทหายากก็ตาม​ แต่ถ้าใครได้ทำ รับรองว่าดัง​ไม่ใช่ดังแบบพลุ​ แต่ดังแบบยั่งยืน​ผ่านไปหลายปี​หรือเป็นพันปี​ก็ยังมีคนพูดถึง
 

ในวันนี้​ผมขอยกเรื่อง​ ดญ.วัลลี​ เด็กหญิงยอดกตัญญู​ ในเมืองไทย​ และพระสารีบุตร​เถระ​ พระอัครสาวกเบื้องขวา​มาเล่า​ ให้เห็นเป็นตัวอย่าง

"ดญ.วัลลี​ ยอดกตัญญู​"

เมื่อ​ พ.ศ.​2524​ หรือ​ 43  ปีมาแล้ว​ ประชาชนติดตามข่าวในหนังสือพิมพ์​ ทีวี​ วิทยุ​ที่เสนอข่าว​ เด็กหญิง​ยอดกตัญญู​ ชื่อวัลลี​ ณรงค์​เวทย์​ นักเรียนชั้นประถมปีที่​ 5​ โรงเรียนวัดโรงธรรมมิตรภาพที่​ 70​ อย่างต่อเนื่อง​ ด้วยจิตใจปีติในความกตัญญู​ ของเด็กประถม​คนนี้ ที่ต้องวิ่งไปบ้าน​และโรงเรียนระยะทาง​ 8​ กิโลเมตร​ (เมื่อโรงเรียนพักเที่ยง)​ เพื่อไปป้อนอาหาร​แม่ที่เป็นอัมพาต​ และยายที่ตาบอดทั้ง​ 2​ ข้าง

เมื่อคุณ​ครูทราบข่าวเด็กหญิงยอดกตัญญู​ จึงได้รับการช่วยเหลือ​ส่วนผู้เสพข่าว​ ก็ปีติ​ เพราะนานๆ​ จะมีข่าวสะท้อนสังคมที่ดีให้เห็นกันสักที

แต่ปัจจุบันข่าวแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น​ แม้ว่าจะเป็นสังคมข่าวสารก็ตาม
 


ในความเป็นจริงแล้ว​ ไทยเป็นสังคมชาวพุทธ​ ความกตัญญู​กตเวที​ เป็นวัฒนธรรม​อย่างหนึ่ง​ เช่นมีคำสอนทางพุทธศาสนา​ว่า ภูมิ​ เว​ สาธุรูปานํ​ กตัญญู​กตเวทิตา

คุณธรรมคือความกตัญญู​กตเวที​ ย่อม เป็นดุจพื้นที่สำหรับยืนหยัดแห่งสาธุชน

สมเด็จพระสังฆราช​(สา)​ สังฆราชองค์ที่​ 9​ ​แห่งกรุงรัตนโกสินทร์​ ประพันธ์​คติพจน์​ เพื่อเตือนใจ​ ว่า​ นิมิตตํ  สาธุรูปานํ กตัญญู​กตเวทิตา

แป​ลว่า​ ควากตัญญู​เป็นเครื่องหมายของคนดี

เมื่อกุลบุตรบวชพระ​หรือบวชเณร​ จะมีบทเรียนบทหนึ่ง​ในหนังสือนวโกวาท​ เรียกว่า​ บุคคลหาได้ยาก​ 2​ คือ​ 1) บุพพการี​ ผู้ที่ทำอุปการะก่อน 2) กตัญญู​กตเวที​ ผู้ที่รู้อุปการะที่ท่านทำแลัวตอบแทน

ที่ว่าหาได้ยาก​ คือคนที่รู้ถึงพระคุณที่ท่านทำให้ก่อน​เรียกว่ากตัญญูส่วนผู้สนองตอบคุณที่ท่านเคยทำเคยให้​ เรียกว่ากตเวที

แต่ส่วนมากคนรับ​ ไม่ได้คิดถึงคนให้​ ส่วนคนให้​ ก็ไม่ได้รับตอบแทน​ รู้สึกผิดหวัง​ จึงมีคำพูดว่า​ ทำบุญคุณใครไม่ขึ้น

ดังนั้นผู้ใดที่​มีคุณ​ธรรม​ 2​ ข้อนี้จะ​ กลายเป็นคนหาได้ยาก​ ​ย่อมได้รับการยกย่องในที่ต่างๆ
 


พระราชธรรมวาที​(ชัยวัฒน์)​ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส​ กล่าวถึง​ ผู้ที่ควรกตัญญ​ูว่ามี​ 4​ ประการ
1) ถิ่นที่เคยอยู่​ ได้แก่ ปิตุชาติ​ มาตุภูมิ​ แผ่นดินถิ่นที่กำเนิด
2) อู่​ที่เคยนอน​ คือ ที่ที่เคยอยู่อาศัย
3) หมอนที่เคย​หนุน​ ได้แก่ บุคคลที่เคยให้เกียรติ​ ให้โอกาส​ ให้ความก้าวหน้า
4) พระคุณ​ที่เคยพึ่ง ​ได้แก่ บุคคลที่เคยส่งเสริม​ สนับสนุน​ อุปถัมภ์​ค้ำชู

ผู้กตัญญู​พึงรำลึกถึง​ 4​ ข้อนี้เสมอ
 

"พระสารีบุตร​ เถระยอดกตัญญู​"

พระสารีบุตร​ อัครสาวกเบื้องขวา​ มีความเป็นเลิศทางปัญญา​ ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า
1) เป็นผู้มีปัญญา​อนุเคราะห์บรรพชิตด้วยกันได้
2) เป็น​ธรรมเสนาบดี
3) มีความกตัญญู​เป็นเลิศ

ในเรื่องความกตัญญู​ นั้น​ ท่านจะนอนหันศีรษะ​ไปในทิศที่พระอัสสชิ​อยู่​ เพื่อสักการะบูชา​ ในฐานะพระอาจารย์​ ที่แสดงหลักธรรม​ ทางพุทธศาสนา​จนท่านบรรลุโสดาบัน

อีกเรื่องหนึ่ง​แค่ข้าวสุกหนึ่งทัพพี​ถือเป็นบุญ​คุณ​ต้องทดแทน

เมื่อพระสารีบุตรอยู่เมืองสาวัตถี​ ออกบิณฑบาต​ ได้รับอาหารเป็นข้าวสุกหนึ่งทัพพีจากพราหมณ์​ผู้ชรานามว่า​ ราธะ ต่อมาพราหมณ์​ชรานั้นต้องการบวช​ แต่ไม่มีพระเถระรูปใดรับเป็นอุปัชฌาย์

​เมื่อพระพุทธ​เจ้าทรงทราบ​ จึงถามที่ประชุม​สงฆ์​ว่า​มีใครเคยรับอุปการะจากพราหมณ์​นี้บ้างไหม

พระสารีบุตร​กราบทูลว่า​ พราหมณ์​นี้เคยใส่บาตรด้วยข้าวสุกหนึ่งทัพพี​ พระพุทธ​องค์จึงสรรเสริญว่าพระสารีบุตร เป็นยอดกตัญญู​และให้เป็นอุปัชฌาย์​บวช​ ราธะพราหมณ์​นั้น

 

"โปรดโยมแม่ ก่อนนิพพาน"

โยมแม่พระสารีบุตรนั้น​ ยังนับถือศาสนาอื่น​ คือเป็นมิฉาทิฐิ​ แม้ว่าพระลูกชายเป็นถึงอัครสาวก​ แต่ได้ตำหนิพระลูกชาย​ ที่ไม่ได้บวชคนเดียว​ ยังพาน้องชายอีก ​7 คนไปบวชจนหมด​ ไม่มีใครสืบตระกูล

ส่วนพระสารีบุตรทราบว่าตนถึงเวลานิพพานแล้ว​ จึงทูลลาพระพุทธเจ้าว่าจะมานิพพานที่บ้านเกิด ที่นาลันทาและจะเทศน์โปรดโยมแม่ด้วย ​เมื่อได้รับอนุญาตจึงเดินทาง​ 7​ วันจากสาวัตถี​ ถึงบ้านนาลันทา

โยมแม่ทราบก็ดีใจว่าลูกบวชนานคงเบื่อ​ จะสึกเมื่อแก่​ จึงจัดที่พักและอาหารให้แก่พระบริวารของพระสารีบุตร ส่วนพระสารีบุตรขออนุญาต​โยมแม่ว่าจะพักในห้องที่เคยเกิด​โยมแม่อนุญาต
ในคืนนั้นท่านข่มอาการอาพาธ​ไว้แล้วเทศน์​โปรดโยมแม่​จนโยมแม่บรรลุ​โสดาบัน​ เท่ากับปิดประตูนรก​ เปิดประตูสวรรค์ให้โยมแม่​ ​จึงนิพพานเช้าตรู่ในวันนั้น
 


บัดนี้อัฐิธาตุของพระสารีบุตร​ และพระโมคคัลลา​นะ​ที่เก็บไว้ที่สาญจิ​ สถูป​ อินเดีย​ ถูกเชิญมาประดิษฐาน​เคียงข้างพระบรมสารีริกธาตุ​ ของพระพุทธ​เจ้า​ ณ​ มณฑลท้องสนามหลวงให้ประชาชนบูชาถึงวันที่​ 3​ มีนาคมนี้ 

จึงไม่อยากเห็นผู้ศรัทธา​พลาดโอกาส​ อันหาได้ยาก นี้​ เพราะการที่พระบรมสารีริกธาตุกับพระอรหันตธาตุ​ จะมาประดิษฐาน​ในที่เดียวกัน​ไม่เคยมีมาก่อน

แต่เพราะความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอินเดีย​ กับรัฐบาลไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรม​ กรมการศาสนาและสถาบันโพธิคยา​ 980

เรื่องอัศจรรย์​ที่ไม่เคยเกิด​ ​ก็ได้เกิดแล้วที่เมืองไทย
 

คุณพัลลภ ไทยอารี ประธาน องค์การพุทศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) Kesang wangdi อุปทูตอินเดียประจำราชอาณาจักรไทย และมณเฑียร ธนานาถ เลขาธิการ พ.ส.ล. ในงานบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ท้องสนามหลวง