หุ้นไทย ไปไม่ถึงดวงดาว…หรือเปล่า?

20 มี.ค. 2566 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มี.ค. 2566 | 18:45 น.

ศุภพงศ์ เอี่ยมคงเอก สรุปแนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์นี้ มองแบงก์ล่มไม่จบง่ายๆ ตลาดระยะยาวไม่ชัดเจน แต่ระยะสั้น เล่นเร็ว หวัง gap rebound ได้ แนะนำเก็งกำไร ERW THCOM

หลังจากตลาดหุ้นไทยหลุด 1600 ลงมา แน่นอนว่าตลาดเสีย momentum ในการเป็นขาขึ้น และเจอแรงขาย panic sellลงมา1500ต้นๆ ในเวลา 2 วันทำการ คำถามที่นักลงทุนต้องตั้งก็คือ การลงมาครั้งนี้ลงมามากกว่าพื้นฐานหรือไม่และนี่เป็นวิกฤตหรือโอกาสในการซื้อ 

แน่นอนว่าสาเหตุหลักในการฉุดตลาดลงมาสัปดาห์ที่แล้วคือการที่ธนาคารยักใหญ่ในสหรัฐ SVB เกิดแบงก์รันและตามมาด้วยข่าวไม่ดีเกี่ยวกับแบงก์จะล่มอีกมากมาย จนสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ซึ่งหลายๆคนเริ่มเบาใจขึ้นหลังจากนั้น เพราะเห็นการเข้ามาอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจาก FED จนคนเชื่อว่าไม่น่าจะลุกลามจนเป็นวิกฤต ตลาดจึงเริ่ม rebound ขึ้นมาให้ชื่นใจได้บ้างในช่วงปลายสัปดาห์ 

แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไปครับ เพราะต่อให้ FED จะเข้ามาช่วยก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

อย่าลืมนะครับว่าอะไรที่พังมันต้องใช้เวลาในการซ่อมเสมอ และการเข้ามาแทรกแซงในระบบระยะสั้นไม่เคยส่งผลดีในระยะยาว 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดที่สุดช่วงโควิดที่ FED เข้ามาอัด QE ผลที่ตามมาระยะยาวก็คือต้องแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกดดันตลาดได้เป็นปี จนปัจจุบัน

ปัญหานี้ก็ยังแก้ไม่จบ ต่อให้ระยะสั้นสามารถพยุงตลาดได้ แต่ระยะยาวก็แลกมาด้วยการที่ตลาดกังวลกับปัจจัยนี้ตามมา 

ถ้าลองคิดในอีกแง่นึง การที่ FED ยอมอัดฉีดเงินเข้ามาเพิ่ม แปลว่าเขาต้องมองเห็นการลุกลามที่จะเกิดขึ้นกับระบบแบงค์ใช่หรือไม่ ซึ่งแปลว่าFED ก็ต้องมองมีโอกาสลุกลามทั้งระบบ ไม่จบแค่ธนาคารที่สองที่ใช่รึเปล่า หรือพูดเป็นศัพท์ทางการง่ายๆก็คือ FED ต้องมองว่าเหตุการณ์นี้มีโอกาสเป็น systematic risk ไม่ใช่ idiosyncratic risk   

ยิ่งตอนนี้สิ่งที่ FED กำลังพยายามกำจัดอันดับหนึ่ง คือปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งเกิดมาจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ และการที่ FED ยอมกลับมาอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอีกครั้ง ทั้งๆที่เงินเฟ้อก็ยังคุมไม่อยู่ อาจจะกำลังจะบ่งบอกว่าสิ่งนี้มันกำลังต้องรีบแก้มากกว่าเรื่องเงินเฟ้อ จนต้องยอมแลกมาด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอีกรอบหนึ่ง

ถ้าเรามองดูเชิงเทคนิคตามรูปจะเห็นว่าการลงมาแถวๆ 1517 คือการบ่งบอกว่ามีโอกาสเป็นดับเบิ้ลท๊อป ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่มันหลุดแปลว่าตลาดมีโอกาสลงยาว จึงคล้องจองกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ปัญหานี้มีโอกาสใหญ่มากกว่าที่คิด เพราะอย่าลืมนะครับว่ากราฟมักสะท้อนก่อนข่าวเสมอ

แต่ต่อให้ผมไม่ได้มองว่าตลาดในระยะเดือนจะดี และผมก็คิดว่าวิกฤตธนาคารล่มครั้งนี้ยังไม่จบ แต่ในระยะสั้นด้วยความที่ตลาดลงมาเยอะ ก็เชื่อว่าการ rebound ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วยังไม่จบ ในสัปดาห์นี้ก็มีโอกาสที่ rebound ต่อไปแถวๆ 1580 หรือ1600 

สิ่งที่ควรทำจึงเป็นการหาตัวเล่น และเป็นการเล่นเร็วเพื่อชิงจังหวะการเอา gap

แล้วเล่นตัวไหน?  แน่นอนว่าก็ต้องหาตัวที่มีสตอรี่ในตัวของมันเอง และต้องมั่นใจว่าผลประกอบการในไตรมาสที่หนึ่ง และสองจะดีแน่ ซึ่งสัปดาห์นี้ผมนำเสนอหุ้น 2 ตัวครับ

1.ERW

ERW กำลังจะมีผลประกอบการที่กลับมาเป็นกำไรในช่วงไตรมาสที่หนึ่งหลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่องช่วงโควิท และด้วยความที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามา จึงมั่นใจได้เลยว่าต่อให้จะเกิดวิกฤติแบงค์ล่ม ERW ก็จะกลับมากำไรอยู่ดี เพราะฉะนั้นมองว่าเป็นหนึ่งตัวที่สามารถเล่นเก็งกำไรช่วงตลาด rebound 
ถ้าดูเชิงเทคนิคจะเห็นว่าเป็นการลงมาแถวๆ trendline เป็นแนวรับ แถวนี้จึงน่า bet เล่นในการเก่งกำไรอย่าให้ต่ำกว่า 4.8 โดยหวัง gap ซัก4-6%

2.THCOM

ทางเชิงพื้นฐานเป็นอีกตัวนึงที่มีสตอรี่ในตัวของมันเอง และวิกฤติไม่มีผลต่อตัวธรุกิจTHCOM ข้อดีก็คือในไตรมาสสี่ที่ผ่านมาขาดทุนแบบหักปากกาเซียน แต่ไตรมาสหนึ่งจะพลิกกลับมากำไรด้วยความที่ฐานกำไรต่ำ 

การพลิกกลับมากำไรจะทำให้มี momentum เชิงบวกต่อราคา และการที่เขากำลังจะลงทุนดาวเทียมดวงใหม่ 3 ดวง นอกจากจะเพิ่มความเชื่อมั่นแล้วจะสามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่ขึ้นมาได้ด้วยเช่นเดียวกัน บวกกับการเอาเทคโนโลยีแบบใหม่ๆเข้ามาก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวธรุกิจ

ทางเชิงเทคนิคเราจะเห็นว่าการลงมาเส้นที่ผมขีดไว้ในรูปเป็นแนวรับเพราะ ฉะนั้นมีโอกาสเด้ง โดยอย่าให้หลุด 13.3 และหวังเอา gap 7-10%

สรุปสัปดาห์นี้
1. มองแบงก์ล่มไม่จบง่ายๆ
2. ตลาดระยะยาวไม่ชัดเจน แต่ระยะสั้น เล่นเร็วหวัง gap rebound ได้
3.แนะนำเก็งกำไร ERW THCOM