บุคลิกพลิกอนาคต ฉากที่ 7 เอาตัวรอด

25 มิ.ย. 2565 | 06:40 น.

บุคลิกพลิกอนาคต ฉากที่ 7 เอาตัวรอด : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3795 หน้า 6

นิทานเรื่องสี่สหายสมัยเด็กฟังกันเพลินดี สหายทั้งสี่มีฉายาว่า เจ้ามือใหญ่ เจ้าหูกาง เจ้าขี้มูกมาก และ เจ้าตูดแหลม ถ้ามีใครขยันมาทักขัดคอว่า ผมจัดลำดับสลับกันนัว ผมจะขอกราบเท้าทำความเข้าใจนิดเดียวว่า สหายทั้งสี่เขาไม่ได้ยืนเข้าแถวร้องเพลงชาติหน้าเสาธง เขาจึงสามารถจะยืนสลับที่กันได้ทุกวันตามอัธยาศัย (ฮา)


คนแรกมือเบ้อเร่อเขาได้ฉายาว่า เจ้ามือใหญ่ ผมเกรงว่าผู้อ่านรุ่นใหม่จะนึกว่าเป็น หัวหน้าบ่อน (ฮา) ผมจึงเรียกว่า เจ้ามือปาล์ม เพราะว่ามือใหญ่ตรึมยังกะใบต้นปาล์ม นี่ถ้าเกิดมาเป็น ส.ส.สมัยนี้ ทุกพรรครวมหัวกันร้องเรียนท่านประธานว่าให้เชิญไปนั่งแถวหลังสุด ยกมือคนเดียวพรรคอื่นจะเสียสิทธิ์ยกมือประท้วง เพราะว่าประธานมองเห็นไม่ครบว่ามีใครยกมือประท้วงกันบ้าง (ฮา)

คนที่สองมีใบหูใหญ่กว่าหูช้าง ผมขอเรียกเขาว่า เจ้าหูใบสำเภายักษ์ นี่ถ้าเกิดมาเป็นนักเรียนจะมีเพื่อนเยอะ เวลาสอบเพื่อนจะสุขกายสบายใจ แค่เขาแผ่ใบหูครูก็หมดหนทางจะรู้ได้ว่า ใครกำลังแอบลอกใคร (ฮา)


คนที่สามมีขี้มูกเยอะเป็นพิเศษ  ผมจะเรียกว่า เจ้าขี้มูกมหาอุด หมู่บ้านใดมีเขาผู้นี้ลงมาเกิดนับว่าเป็นวาสนา ผู้นำหมู่บ้านควรจะจ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจตราห้องน้ำทุกพื้นที่ ห้องไหนมีรูให้รีบควักขี้มูก เอามาอุด จะให้ดีควรจะกระจายข่าวด้วยว่า เป็นขี้มูกที่อาจจะติดเชื้อโควิด พวกถ้ำมองจะหงอยกันทั้งละแวก (ฮา)

คนที่สี่เกิดมาตูดแหลม ผมขอเรียกเขาว่า เจ้าตูดสะแต้บ (Stab แปลว่า ทิ่มตำ) ใครทำสวนทำไร่ ควรจะหว่านล้อมให้ไปร่วมทำงานเจาะหลุมปักชำ ถ้าไปยึกยักให้อารมณ์เสียหน้าง้ำเขาทิ่มตำจนบ้านเมืองเป็นรู

 

ครานั้น  ทั้งสี่ก็แปลงโฉมเป็นนักล่องเรือออกหาปลา ออกเรือไปในทะเลเพื่อหาปลา เจ้าหูใบสำเภายักษ์ รับลมเต็มๆ ช่วยให้เรือแล่นได้ฉิว เจ้ามือปาล์ม ใช้มือแทนพายจ้วงน้ำให้เร็วขึ้น เจ้าขี้มูกมหาอุด ควักขี้มูกมาปั้นจนเต็มฝ่ามือแล้วโยนลงไปอ่อยเหยื่อทำให้ไส้เดือนพ้นเคราะห์ (ฮา) 


ปลาผุดขึ้นมากินแล้วเกิดอารมณ์นะจังงังดำหนีไม่ทันจึงโดนรวบ แมวในคราบมะนุดเห็นปลาเต็มลำก็รุมกันขอ เจ้ามือปาล์ม กอบให้แต่ละทีหลายกิโลแท้ เจ้าตูดสะแต้บ ชักจะงอแงหงุดหงิดลืมคิดว่าตูดแหลม เผลอนั่งเต็มแรงตูดแทงพื้นเรือทะลุน้ำก็ไหลทะลักเข้าเรือ เจ้าขี้มูกมหาอุด รีบสั่งขี้มูกเอามาอุดเรือ งานนี้ถึงแม้ว่าปลาจะไม่เหลือแต่ก็สามารถกู้เรือเอาตัวรอดไปได้ในที่สุด


เรื่องนี้ได้สติข้างเคียงว่า ถ้าคนเก่งไม่อ่อนซ้อมอยู่ร่วมวงกับผู้อื่นด้วยบุคลิกที่อ่อนน้อม วงล้อมจะไม่มี!


เล่าเรื่องนี้ก็นึกถึงงานทอล์ค ที่นายตำรวจใหญ่เป็นผู้จัดหารายได้ไปแจกทุนการศึกษา นักพูดก็คือ นักพูดขึ้นเวทีก็ขุดจุดอ่อนผู้ร่วมทอล์คโชว์เรียงตัวกัน ไม่เว้น นักพูดท่านหนึ่งแซวพาดพิงล้อผมว่า “คนที่จะเป็นตำรวจได้จะต้องมีบุคลิกมาตรฐานโลก เดินเตี้ยไปเตี้ยมาอย่าง อ.สุรวงศ์ ไม่มีทางที่จะเสนอตัวเข้ามาสมัครเป็นตำรวจ”


ถัดมาก็เป็นคิวผม ผมก็แก้ปมไปว่า “คนที่จะเป็นตำรวจได้จะต้องมองอะไรต่อมิอะไรให้มันลึกซึ้ง คนที่จะเป็นตำรวจได้ดีต้องสเปคเตี้ยอย่างผมนี่แหละ โจรกับคนที่แซวผมเมื่อตะกี๊มีคลื่นสมองในระดับเดียวกัน เขาไม่เชื่อเพราะคิดไม่ลึกนึกไม่ถึงว่า ไอ้คนที่เดินเตี้ยไปเตี้ยมา จะเป็นได้ถึงระดับนายตำรวจ ผมจะทำผลงานได้เนียนกว่าเพราะเขามองข้ามลักษณะพิเศษด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ 


คนที่เดินโย่งไปโย่งมาหมือนอย่างท่านที่แซวผมเมื่อสักครู่นี่แหละ เป็นตำรวจได้ยาก คนตัวโตลงพื้นที่เมื่อไหร่จะโดนยิงเป็นคนแรก เพราะว่ามีสัดส่วนสูงกว้างใหญ่จะเลือกยิงตรงไหนก็เป็นไปได้ ผมขอแนะนำไว้เลยนะ ถ้ารักอนาคตควรจะรีบไปโหลดเตี้ยเสียให้ไว” (ฮา)

                                        บุคลิกพลิกอนาคต ฉากที่ 7 เอาตัวรอด
อยากหน้าแตก ให้อวดฉลาด อยากโดนปาด ให้อวดเก่ง  อยากเจอนักเลง ให้อวดดี อยากให้หน้าเปลี่ยนสี ให้อวดรู้  อยากโดนบ้องหู ให้อวดเด่น อยากโดนเขม่น ให้อวดผลงาน อยากเจอยมบาล ให้อวด ความลับ อยากตกอับ ให้อวดรวย อยากชะตาซวย ให้อวดสำเร็จ  อยากน้ำตาเล็ด ให้อวดความสุข


เรื่องนี้ได้สติข้างเคียงว่า วงดนตรีปริแตก ตรงที่ทับถมความดีเขาว่าไม่เฟิร์ม เคลิ้มความดีตนซะไม่มี!


ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ เป็น Super Guru ลูกศิษย์ท่านในกลุ่มธุรกิจการตลาดเขาตั้งฉายาท่านว่า “ซินแสแห่งวงการการตลาด” ผมสนิทกับท่านมานานปี เคยร่วมทีมเป็นวิทยากรด้วยกันหลากหลายบริษัท ท่านเคยสอนผมว่า “การคบใครสักคนหนึ่งให้ทำใจเหมือนกันการซื้อซีดีเพลงสักแผ่นหนึ่ง ซีดีเพลงแต่ละแผ่นเขาโหลดเพลงอัดไว้สิบเพลงสิบสองเพลง เอาเข้าจริงๆ ก็มักจะมีเพลงเด่นเพียงเพลงเดียว


ที่เขาบรรจุไว้หลายเพลง ก็เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้ม สมมุติว่าซีดีแผ่นละสิบเพลงราคาแผ่นละ 180 บาท จะตกเพลงละ 18 บาท เราก็ฟังซ้ำๆ อยู่แค่ 18 บาทเพราะอุปาทานว่า เพลงอื่นไม่ถูกใจ ไม่ไพเราะ ในแง่มุมเดียวกัน ถึงแม้ว่าแต่ละคนเขาจะมีจุดเด่นที่เป็นประโยชน์จริงๆ เพียงจุดเดียว ก็ควรค่าแก่การคบหา”


ผมสมมุติส่งท้ายคลายเครียดว่า ไอ้เฟอะ ชั้น ม.6 มันฝาก จ.ม.จีบ ให้เราเอาไปส่งให้ถึงมือสาว ม.5  เธอเป็นสาวผมเปียเพียงคนเดียว ชื่อว่า ฟะ  เรายังโผล่หน้าเข้าไปถามว่า “ใครชื่อ ฟะ” ครูประจำชั้น คว้าเอาไปคลี่ดูเพราะครูก็ชื่อ ฟะ (ฮา) ครูอ่านให้ฟังกันทั้งห้องว่า “เรา 2 คนอยู่ในหมวดเดียวกัน เราชื่อ เฟอะ เธอชื่อ ว่า ฟะ เย็นนี้กินไอติมกันนะ เฟอะ กับ ฟะ จะได้สมาสกัน” (ฮา)


เรื่องนี้ได้สติข้างเคียงว่า เราเป็นนักเรียนทุน  เราสอบได้เกรด 4  นั่นก็ใช่ว่าเราจะฉลาดทุกเรื่อง!