JTS วิกฤติ...ซ้อนวิกฤติ

22 มิ.ย. 2565 | 05:40 น.
1.9 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

***  ในที่สุดราคาหุ้นก็กลับมาเป็นบวก หลังจากที่หุ้นกลุ่มเหมืองขุดบิทคอยน์ นำโดย “JTS UPA ZIGA” แข่งกันร่วงติดต่อกันมาหลายวัน 
 

อย่างแรก อาจจะเป็นเพราะราคาของบิทคอยน์ ที่เริ่มกลับตัวกลับขึ้นมาเป็นบวกหลังจากที่ทำจุดต่ำที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

อย่างที่สอง อาจเป็นเพราะการกลับตัวทางเทคนิค หลังจากที่ราคาร่วงลงไปต่ำมาก ถ้านับจากจุดที่ราคาเคยขยับขึ้นไปสูงสุด 
 

โดยทาง JTS ราคาร่วงลงไปแตะ 104 บาท จากที่เคยทำราคาจุดสูงสุดที่ 594 บาท อ่วมอรทัย

ขณะที่ ZIGA ราคาหุ้นร่วงลงไปแตะ 5.25 บาท จากจุดสูงสุดที่ราคา 24.60 บาท นี่ก็อ่วม
 

ส่วนทาง UPA จากที่เคยขยับขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 0.74 บาก ก็เคยร่วงลงไปแตะ 0.24 บาท จะสลบเอา...
 

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะถามเจ๊เมาธ์ ว่า เห็นราคาหุ้นเริ่มกลับตัวขึ้นมาแล้วน่าสนใจหรือไม่ เจ๊เมาธ์ บอกเลยว่า หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ไม่ควรจะไปยุ่ง หรือให้ความสนใจ เพราะว่าราคาสูงเกินกว่าพื้นฐานไปไกลแล้วทุกตัว 
 

ดังนั้นถึงแม้จะเห็นว่า “ในวิกฤติอาจจะมีโอกาส” แต่ขณะเดียวกัน “ในวิกฤติก็ยังมีวิกฤติ” ซ้อนอยู่เช่นเดียวกันค่ะ 
 

*** หุ้นกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP IRPC SPRC BCP และ ESSO ขยับราคาขึ้นมา หลังจากที่มีความชัดเจนว่า ค่าการกลั่นเป็นเรื่องของกลไกทางการตลาดเอกชน เป็นเรื่องที่รัฐไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง เพราะหลังจากที่นักการเมืองบางกลุ่มพยายามสร้างกระแสบีบบังคับให้โรงกลั่นน้ำมัน จ่ายส่วนแบ่งกำไรจนทำให้ราคาหุ้นร่วงลงไปอย่างรุนแรง 
 

ถ้ามองในมุมมองของเจ๊เมาธ์ สาเหตุที่นักการเมืองพวกนี้กล้า เป็นเพราะยังไม่มีบทบาท และยังไม่มีตัวตน หรือ หน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหาร จึงทำให้กล้าเล่นกระแสดราม่า โดยหวังเพียงคะแนนเสียง โดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบ หรือ สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อนักการเมืองกลุ่มนี้ ไม่มีเครดิต ทำให้ท้ายที่สุดประเด็นของการแบ่งกำไรจากการทำธุรกิจ ก็เป็นได้เพียงการสร้างสีสัน เกาะกระแสจากกลุ่มคนที่ไม่มีต้นทุน 
 

เจ๊เมาธ์จะสงสารก็แต่เอกชนที่อยู่ดีๆ ก็มาซวย เพราะต้องมาเจอกลุ่มคนหิวแสงที่ไม่รู้กาลเทศะแบบนี้ก็เท่านั้นเอง
 

*** ในที่สุดหุ้นตระกูลเจ ทั้ง JMART และ JMT ต่างก็ถูกเลือกให้เข้าไปอยู่ในดัชนี SET50 พร้อมกันทั้งคู่ ซึ่งหากจะว่ากันตามความเป็นจริง การที่บริษัทแม่อย่าง JMART มีคุณสมบัติที่เข้าไปอยู่ใน SET50 ได้ ก็เป็นเพราะส่วนแบ่งกำไรที่มาจาก JMT ซึ่งเป็นบริษัทลูกเป็นหลัก ถ้าจะพูดกันให้ชัดๆ ก็ต้องบอกว่า เป็นเพราะ JMART มี JMT เป็นบริษัทลูกกตัญญูนั่นเอง 
 

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่าง JMART และ JMT ว่า หุ้นตัวใดน่าสนใจมากกว่า โดยส่วนตัวแล้วเจ๊เมาธ์มองว่า ทางด้าน JMT ดูเหมือนน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากธุรกิจ AMC ของ JMT น่าจะขายได้มากกว่าธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถืออุปกรณ์เสริมและเก็ตเจ็ตของบริษัทแม่อยู่ไม่น้อย
 

*** การลดสภาพคล่องด้วยการทำ QT (Quantitative Tightening) และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมีส่วนช่วยให้หุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง BGRIM GULF และ GPSC สามารถขยับราคากลับขึ้นมาได้เนื่องจากราคาสินค้าพลังงานทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินซึ่งเป็นต้นทุนของโรงไฟฟ้าเหล่านี้ปรับลดราคาลงมา โดยเฉพาะในส่วนของ BGRIM กลายเป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่ราคาดีดกลับมามากกว่าหุ้นโรงไฟฟ้าตัวอื่น เนื่องจากตอนที่ราคาหุ้นปรับลงก็ลงมามากกว่าใคร เนื่องจากบริษัทฯ แทบจะไม่มีธุรกิจอื่นเข้ามาเสริมเพื่อสร้างสตอรี่เช่นเดียวกับ GULF และ GPSC ที่มีการลงทุนในธุรกิจที่มากกว่าธุรกิจพื้นฐานเดิมอย่างโรงไฟฟ้า 
 

อย่างไรก็ตาม หากจะเปรียบเทียบกันระหว่างหุ้นโรงไฟฟ้าทั้ง 3 ราย เจ๊เมาธ์ยังมองว่าการทำธุรกิจที่หลากหลายของ GULF และ GPSC ยังดูน่าสนใจมากกว่าธุรกิจเชิงเดียวอย่าง BGRIM อยู่ดีเจ้าค่ะ


*** แม้ว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวอยู่แค่ในกรอบ 100-110 บาท ซึ่งเป็นกรอบราคาที่ค่อนข้างแคบ แต่เจ๊เมาธ์ยังคงมองว่า CBG เป็นหุ้นที่น่าสนใจเหมือนเดิม 
 

อย่างแรกคือ เรื่องผลการดำเนินงานที่ไม่ได้แย่เกินไป เมื่อเทียบกับราคาหุ้น รวมถึงการที่ CBG ไม่ยอมปรับขึ้นราคาสินค้าตามคู่แข่งซึ่งมองได้ว่า เป็นการเดินเกมด้วยกลยุทธ์ราคา ดังนั้น เมื่อรู้แล้วว่า การเคลื่อนที่ของราคาหุ้นเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การเล่นในกรอบของราคาที่เป็นอยู่ก็เท่านั้นเอง ก็อย่างว่า...ในบางเรื่องเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดเยอะให้ปวดหัวมากเกินไป เอาแค่คิดง่ายๆ และทำเงินได้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,793 วันที่ 19 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565