รมว.คลัง กับอาการชักเข้า-ชักออก รีดภาษีหุ้น !!!!

15 มิ.ย. 2565 | 05:30 น.
652

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** นักลงทุนไทย คงเอือมไม่น้อย กับความนึกคิดของ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลัง ที่ชักเข้า-ชักออก กับภาษีหุ้น บางเวลาหลงลืม ก็บอกให้ชะลอการเก็บภาษีหุ้น แต่พอนึกขึ้นได้ เดินหน้าเสนอรัฐมนตรีอนุมัติเก็บภาษีเร็วๆ นี้ ไม่ฟังเสียงคัดค้านท้วงติงจากผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนบ้าง
 

เจ๊เมาธ์ อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้ว ตลาดหุ้นไทย เก็บภาษียิบยั๊บ จากการซื้อ-ขายหุ้นอยู่แล้ว นักลงทุนไม่ได้จ่ายแค่ค่านายหน้าซื้อขาย แต่มีทั้งการเก็บค่าทำรายการ ตัดบัญชี 15 บาท อีกจิปาถะ ที่รีดจากการซื้อขายหุ้นได้ และการเก็บภาษีหุ้น ควรเก็บจากขากำไร ที่เกิดจากการขายหุ้นเท่านั้น 
 

เสน่ห์ตลาดหุ้นไทย เวลานี้ ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่เวลามาคิดเก็บภาษีหุ้น เพราะสภาพตลาดที่ซบเซาขาลง จากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ดอกเบี้ยขาขึ้น เงินทุนพร้อมไหลออกจากตลาดหุ้นได้ทุกเวลา การเก็บภาษีหุ้น เป็นการผลักไสไล่ส่ง นักลงทุนนำเงินออกนอกประเทศเร็วขึ้น
 

การคิดเก็บภาษีหุ้นของ “อาคม” รมว.คลัง ควรคิดไตร่ตรอง ชั่งน้ำหนักข้อดี-ข้อเสีย การเก็บภาษีหุ้นให้ถ้วนถี่ ถ้าผลเสียมีมากกว่า ทำไปแล้ว จะมาชักเข้า-ชักออก เป็นพวกลักปิด-ลักเปิด ทำให้เสียความเชื่อมั่นตรรกะความคิดของผู้คุมการเงินของประเทศได้

และไม่รู้ว่า “อาคม” รมว.คลัง จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เรื่องการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีความจำเป็นกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแค่ไหน หรือว่าท่านรัฐมนตรีทำงานมาก จนกลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ ชักเข้า-ชักออก เรื่อง “เก็บภาษีการขายหุ้น” 
 

ท่านรัฐมนตรี อาจจะหวังน้ำบ่อหน้า...หรือหวังหาเงินด้วยวิธีการง่ายๆ จนหลงลืมไปว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ปั่นป่วนเช่นนี้ แค่เพียงนักลงทุนพยายามเอาตัวให้รอดก็ลำบากมากอยู่แล้ว ซึ่งนโยบายซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนเก่าที่มีอยู่แล้วหายหน้าไป ในขณะที่นักทุนใหม่ก็ไม่กล้าเข้ามา 
 

ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่ยกเว้นการเก็บภาษีในส่วนนี้ เพื่อหวังผลกระตุ้นการออมเงินผ่านการลงทุน ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จากการ “เก็บภาษีการขายหุ้น” เป็นรายรับที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับการออมและการลงทุนที่เกิดขึ้น เจ๊เมาธ์ ได้แต่หวังว่า ท่านรัฐมนตรีจะคิดและทบทวนนโยบายให้รอบคอบ บางทีการคิดอะไรง่ายๆ ผลที่ได้มันจะไม่คุ้มผลลัพธ์ เสียเจ้าค่ะ


*** ไม่เข้าใจว่าหุ้นตัวแรงอย่าง CPH และ CPR อาศัยอะไรมาช่วยไม่ให้ติดแคชฯ ทั้งที่ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นทั้ง 2 เป็นหุ้นที่ราคาสวิงแรง จนสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนที่เข้าไปเก็งกำไรเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาหุ้นบางตัวที่อาจจะมีค่า P/E ที่ไม่สวยแต่เพียงแค่ขยับราคาครั้งเดียวก็ถูกจับติดแคชฯ แต่สำหรับทั้ง CPH และ CPR ที่แม้ว่าทั้งคู่ต่างก็มีค่า P/E ที่ไม่สูงมากนัก แต่เจ๊เมาธ์ก็แน่ใจว่าการมีค่า P/E ที่ไม่สูงนี้ไม่ใช่ “ตั๋วซิ่ง” และไม่ได้หมายความว่าจะไม่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุน เพราะที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นสองตัวนี้บ้าง เฮ้อ...ความไม่ชัดเจนในหลักการมันก็เป็นแบบนี้นี่เองเจ้าค่ะ


*** หุ้นกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP BCP SPRC IRPC และ ESSO พึ่งจะเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ได้ไม่นาน ก็เริ่มมีนักการเมืองบางจำพวกเกาะกระแส โดยการกดดันให้ภาครัฐเรียกเก็บภาษี “ลาภลอย” เพื่อหวังจะแคลมว่ากลุ่มของตนเอง “กล้าคิดกล้าทำ” ในสิ่งใหม่ โดยใช้เพียงตรรกะแคบๆ ที่มองว่าโรงกลั่นเหล่านี้ได้อานิสงส์จากค่าการกลั่น โดยที่ไม่ต้องทำอะไรก็มีกำไรแล้ว แหม...ตอนนี้มาเสนอหน้า ทีตอนที่โรงกลั่นน้ำมันขาดทุน เพราะค่าการกลั่นตกต่ำก็ไม่เห็นจะมีใครออกมาพูดถึง หรือคิดหาทางช่วยสักราย นี่ยังไม่นับเอาเรื่องของค่าการกลั่นซึ่งอยู่ภายใต้กลไกของตลาดโลกที่ยากต่อการควบคุม...ยิ่งถ้าหากเข้าไปวุ่นวายมากก็จะกลายเป็นการซ้ำเติมและดิสเครดิตของระบบเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนแออยู่แล้วให้แย่ลงไปอีกด้วย บอกตรงๆ เลยว่า เจ๊เมาธ์รู้สึกเหนื่อยกับพวกนักการเมืองที่ “กระสันแต่จะทำตัวเด่น” แต่ไม่สนใจเรื่องผลกระทบที่จะตามมาเลยจริงๆ เจ้าค่ะ


*** ว่ากันด้วยเรื่องของโรงกลั่นอย่าง TOP แม้ว่าราคาหุ้นอาจะปรับลงมาบ้างเนื่องจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 275.12 ล้านหุ้น แต่โดยรวมแล้วเจ๊เมาธ์ยังคงมองว่าหุ้นโรงกลั่นอย่าง TOP ยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีก นี่ไม่นับเอาเรื่องการเป็นหุ้นโรงกลั่นที่อยู่ใต้ร่มของบริษัทแม่อย่าง PTT ซึ่งการเพิ่มทุนไม่น่าจะส่งผลไปถึงพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท ขณะเดียวกันภาวะของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังหาทางจบลงไม่ได้ รวมถึงผลการดำเนินงานที่ค่อยๆ ปรับดีขึ้นมากก็ทำให้เจ๊เมาธ์ยงคงมองว่า TOP เป็นหุ้นโรงกลั่นน้ำมันที่น่าสนใจกว่าหุ้นโรงกลั่นตัวอื่นๆ อยู่เช่นเดิม  
  

*** เมื่อว่ากันถึงหุ้นโรงกลั่นน้ำมันแล้ว ก็ต้องว่ากันถึงหุ้นโรงกลั่นตัวแรงอย่าง ESSO กันบ้าง รายนี้นอกจากเรื่องผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ก็ยังมีเรื่องที่ผู้บริหารบริษัทได้ปฏิเสธข่าวการเข้าไปเทคโอเวอร์ SUSCO ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนวิตกกันว่า จะเป็นการจมเงินลงทุนของบริษัทโดยไม่จำเป็นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม...ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ESSO แทบจะไม่เคยมีข่าวความเคลื่อนไหว เพราะไม่มีนักข่าวและวิเคราะห์ได้พูดถึงหรือให้ความสำคัญ ดังนั้น เมื่อข่าวความเคลื่อนไหวของ ESSO ได้รับความสนใจขึ้นมาแล้ว ก็เป็นไปได้ที่ราคาหุ้นของ ESSO อาจจะเปลี่ยนเป็นหุ้นราคาสูง และไม่ได้อยู่ในสถานะของหุ้นดีราคาถูกอีกต่อไปแล้วเช่นกัน


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,792 วันที่ 16 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565