ช้างต่อ และ การตกมัน

11 มิ.ย. 2565 | 09:30 น.
อัปเดตล่าสุด :11 มิ.ย. 2565 | 18:25 น.
1.4 k

คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

ปัญหามันเริ่มจากว่าในวงการช้าง เรามีช้างบ้านกับช้างป่า ประดานักปราชญราชบัณฑิต นั่งนอนคิด ปฤกษาหารือกันจนเหมาะแล้วได้ข้อสรุปว่า ช้างบ้านเรียกเปนเชือก ช้างป่าเรียกเปนตัว ถ้าว่าช้างถวายตัวเข้าทำราชการในพระเจ้าอยู่หัวขึ้นระวางแล้วเรียกเปนช้าง
 

ทีนี้ว่าช้างป่ากับช้างบ้านก็จะไม่มีเอาเสียเลยที่จะถูกกัน เวลาช้างบ้านออกทำงานในปางไม้ ชักลากไม้จากดงต่างๆออกมานั้น ถ้าระหว่างทางได้กลิ่นหรือได้ยินเสียงช้างป่า ก็จะเกิดอาการตัวเเข็งชา จะเดินหน้าก็หยุดกลับหลังหันเอาดื้อๆ

 

 

 

บางตัวนั้นเจ้าของหรือควาญเอาตะขอสับเข้า ยังดื้อดึงมิยอมไป ด้วยกลัวใจกับพวกช้างป่า
 

แล้วจะมีปัญหาเรื่องความกลัวไปทำไม?
 

เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่าช้างใดๆนั้นถึงวันหนึ่งโตใหญ่เจริญวัยได้ฉกรรจ์ มันก็มักจะตกมันที่ตรงขมับของช้างท่านว่ามันจะมีรูต่อมอยู่คู่หนึ่ง ยามเมื่อช้างนั้นๆได้น้ำได้หญ้าอุดมสมบูรณ์ดี มันจะมีกลไกบางอย่างทางชีวภาพขับดันให้ตัวมันพร้อมจะสืบเผ่าขยายพันธุ์

อีกลไกที่ว่านี้ก็มีสัญญลักษณ์คือว่า มันจะมีน้ำมันชนิดหนึ่งกลิ่นหึ่งเหม็นเอียนทะลุไหลออกมาจากต่อมขมับที่ว่า น้ำมันนี่ยามมันหยดเยิ้มออกมาแลเห็นเปนสีครามๆ เมื่อใดก็ตามน้ำมันนี้ตกออกมา ช้างนั่นจะเริ่มออกอาการกระส่ายกระสับพับหูพับหาง อยากจะออกไปเร่หาตัวเมียมาสืบพันธุ์ อวัยวะของสำคัญมันก็จะแข็งขันเกะกะแลเสมือนว่ามีขาที่ 5 งอกขึ้นมาเสียอย่างงั้น
 

ผ่านมาอีกไม่กี่วัน ถ้าน้ำมันเหม็นครามนี้ไหลย้อยหยดลงตรงเข้าสู่มุมปากไม่เท่าไร ช้างได้ลิ้มรสสบกินเข้าไป ก็จะเมา เขาถึงเปนที่มาของคำว่า ‘เมามัน’ลงว่าคนเราเมาเหล้าเมายาเเล้วเสียสติบ้าคลั่งอย่างไร ช้างที่เมามันก็เสียสติบ้าคลั่งอย่างงั้น วันๆจ้องแต่จะหาตัวเมียมาบำบัดความรักคลั่งไคล้ บุกตะลุยไปไม่สนเหนือใต้ จำจดพวกพ้อง จำพ่อหมอควาญตัวเองก็ไม่ถนัด จ้องแต่จะสู้ฟัดท่าเดียว อีทีนี้ ภยันตรายแห่งช้างตกมันมันจะพาสิ่งมีชีวิตอื่นตกที่นั่งพลั้งซวยกันไปด้วย

 

ใครทำเพิงปลูกกระต็อบขวางทาง ท่านช้างก็เหยียบเอาพังเสีย วัวเทียมเกวียนผ่านมา ท่านก็พุ่งเข้าเอางาเสย นายควาญแก่ช้างที่คุ้นเคยท่านก็งวงฟาดเท้ากดยับแบนเเต๊ดแต๊ ไปเจอช้างหนุ่มบ้านๆขวางทางท่านก็ต้องอาละวาดฟาดงาแทงเข้าให้ อาละวาดไปกว่าจะเจอช้างพังช้างบ้านให้ท่านทำมันตกใส่จนเมาหายนั่นแล
 

ก็จะไปทำไรได้ อย่าถือคนบ้า อย่าว่าช้างเมา ว่างั้น?!?


 

ช้างป่าเร่อร่าตกมัน ก็เปนภัยแก่ช้างบ้านดังนี้ ส่วนว่าช้างบ้านมีไหมที่ตกมัน ?_ มีซี่ ก็ร่างกายโตใหญ่กำยำ ได้ข้าวน้ำอาหารสมบูรณ์ มันก็จะต้องธรรมชาติร้องขอให้ออกไปขยายพันธุ์พงศ์เผ่าตามประสา
 

ควาญช้างที่เลี้ยงมาเขาดูออก เห็นต่อมขมับเริ่มเต่งเปล่งมัน เขาก็เริ่มตกปลอกใส่กุญแจมือช้าง บางคนป้องกันไว้มากเข้าก็ใส่ล็อกเสียทั้งสี่มือ (ขาหลังขาหน้า)_จำกัดการเคลื่อนไหว เอาไปล่ามล็อกไปอีกทีกับเสาซอง แล้วค่อยปลอบประโลมเสียด้วยฟักเขียว_หลู่สะ ขนมาให้กินทีละเปนกระบุงๆ ข้าวเปลือกที่ช้างชอบ ให้งดเสีย ยิ่งกินยิ่งงุ่นง่าน หญ้าน้ำอาหารอื่น ก็ให้ลดให้น้อยมากๆ
 

ช้างโดนจับอดอาหาร กินได้แต่ฟักเขียวรสเย็นเข้าไปก็ย่อมสยบฤทธิร้อนคลุ้มคลั่งแห่งหยดน้ำมันขมับสีคราม อาการก็จักค่อยทุเลาคลั่งรักกลับมาเปนปกติหู่หดซึมเซาดีเหมือนเดิม 55


 

ทีนี้ว่า ประดาช้างป่าซึ่งมารบกวนการทำงานนั้นการจะจัดการพวกมันก็มีอยู่สองวิธี หนึ่งถ้าไม่เอามาเปนพวกเสีย ก็ต้องสองขับไล่ไสส่งมันออกไป ไม่งั้นงานการขนซุงลากไม้ก็ไม่ได้ทำกันที
 

งานทั้งสองอย่างนี้ท่านพ่อเลี้ยงปางไม้นิยมเรียกใช้ “ช้างต่อ”
 

การจะเอาช้างป่ามาเปนพวก ประดาหมอเฒ่าควาญช้างเขาก็เอาช้างต่อ ไป ‘ต่อ’ ช้างป่า ช้างต่อประเภทนี้มีความเปนมิตรสูง เข้าใกล้ช้างป่าได้สนิทใจไม่กลัวเกรง แถมช้างป่าก็ไม่รู้อีท่าไหนมักวางใจให้เขา/เธอเข้าใกล้ จับจังหวะได้ทีพรานหมอเฒ่าเขาก็ใช้บ่วงเชือกปะกำทำจากหนังควายฝั้นเหนียวโยนลงคล้องเท้า พ่อช้างต่อพระเอกของเราก็จะหมุนตัวกลับ 180 องศา กระตุกวงบ่วงให้รัดเข้ามือสองตัวรองหมอพรานก็จะรีบไสเอาช้างอีกตัวสองตัวเข้าประกบขนาบข้างผลักไสกุมตัวเอาไปเข้าคอกรอการใช้งานต่อไป
 

ซึ่งก็แทรกไว้ในบรรทัดนี้ก่อนจะไปช้างต่อประเภทสองว่า อันช้างป่าจับมาแล้วมันใช้งานทำการมิได้ทันทีด้วยว่ามีนิสัยป่าติดมา ก็เหมือนเวลาเกณฑ์ทหารได้คนมาจากร้อยพ่อพันแม่เวลาจะคุมให้อยู่เขาก็เลยต้องมีการ ‘ผ่าจ้าน’
 

ซึ่งก็ได้แก่การจับเอาช้างนั้นมาเข้าซองบีบบังคับ จับมัดตรึงเสียให้อยู่หมัด หมอช้างพรานเฒ่าจะเป่าน้ำมูกน้ำมนต์อะไรใส่คาถากล่อมใจอย่างไรก็แล้วแต่ แต่มันจะต้องจบด้วยการกำราบให้เจ็บปวด หากว่าขัดคำสั่งมนุษย์ ผู้ซึ่งบัดนี้มาทำหน้าที่สารถีเจ้านาย หากว่าบังคับสั่งการมิได้_ก็ต้องเจ็บตัว
 

ตะขอช้างอย่างที่ควาญเขาถือไว้กำกับช้างนั้น ตำราวิชาช้างแต่ไรมามันก็น่าแปลกใจ ว่าอาวุธอันเล็กแค่นั้นใช้สยบสับระงับช้างใหญ่ๆได้ อันนี้ก็เรียนว่าเปนแต่เฉพาะช้างที่ยอมให้ขึ้นคอเท่านั้นหรอก จึงจะใช้งานได้ ลำพังช้างไม่ให้ขึ้นจะไปสับมันเข้า ก็แค่เหมือนมดกัด ไอ้/อีคนสับก็รอรับความแบนจากช้างกระทืบเอาได้เลย
 

เวลาควาญสับช้างนี้ เขามีตำแหน่งเหมือนจุดเส้นประสาทคนเราเวลาไปนวดเท้าแล้วคุณหมอนวดมีผังจุดประสาทที่เท้าให้เห็นนั่นเเล สับตรงจุดไหนให้ผลอย่างไร เขามีเรียนสอนสืบวิชามาแต่นมนามจำได้เลาๆว่ามีจุดหนึ่งเหมือนกกตะพาบน้ำสับลงตรงนี้แล้ว เหมือนกดสวิตท์สายฟ้าฟาด ช้างที่กำลังวิ่งหรือเคลื่อนไปจะหยุดชะงักติดกักกึก ขาที่ยิ่กก็ยึกอยู่กะที่ก้าวต่อไปไหนมิได้เลย ทั้งสี่ขาได้แต่ยืนสะดุดหยุดอยู่อย่างกะโดนเบรคมือผสม ABS ตัวถังร่างกายก็ได้แต่ระริกสั่นเทิ้ม น้ำหูน้ำตาไหลพรากขี้เยี่ยวทะลักแตนแตกเละเทะ 


 

ทางเหนือล้านนาเรานี้เวลาจะไหว้ครูแล้วต้องแต่งขัน ในขันนั้นนอกจากของหอมดอกมาลาสตางค์มีค่าแล้ว เขาต้องใส่ตะขอสับช้างไปไหว้ครูด้วย หาไม่ได้ว่าต้องเปนการไหว้ครูวิชาช้างเท่านั้นแต่อย่างใดวิชาใดๆก็ต้องใส่ไปด้วยเปนความหมายหมายว่าจักยอมนับถือเชื่อฟังคำสั่งคำสอนของท่านครู เหมือนหนึ่งช้างปู้เชื่อฟังอำนาจขอสับช้างดังนี้
 

ส่วนช้างต่ออีกวิธีที่เล่าไว้ย่อหน้าก่อนๆ เขาคัดเอาตัวกำยำล่ำสันดีมีงาแทงได้ไปฝึกฝนให้เปนคน เอ๊ย_เปนช้างที่เกลียดช้างป่าได้กลิ่นมาเมื่อไรเปนต้องออกขับไล่ทิ่มแทง ยามช้างป่ามากวนท่านก็จะปล่อยช้างต่อประเภทสองนี้ออกไปไล่ จะแทงจะเหยียบช้างป่าตายอย่างไรก็เรื่องของช้าง เราชาวมนุษย์ก็สบายไป ใช้เขาไปทำงานสกปรกแทนตัว
 
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ฉบับที่ 3,791 วันที่ 12 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565