A5 ซ่าไม่เลิก

29 เม.ย. 2565 | 04:30 น.
997

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์

*** เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่จะมีเหตุการณ์กดดันตลาดหุ้นอยู่ 2 เหตุการณ์ เริ่มต้นจากการประชุม FOMC ในวันที่ 3-4 พฤษภาคมนี้ ซึ่งสาระสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตาดูการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่อาจจะปรับขึ้นไป 0.50% เพื่อให้สามารถสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่ยังรุนแรง และตามมาด้วยกรณีของ Sell in May ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากการรับรู้ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี รวมไปถึงการที่นักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นที่แจกปันผลออกมา อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นเรื่องที่ถูกปูพื้นฐานการรับรู้มาแล้วพอสมควร ดังนั้น หากมีการวางแผนรับมือที่เหมาะสม ก็ไม่น่าจะสร้างความเสียหายได้มากเท่าไหร่นัก
 

*** นับตั้งแต่ A5 กลับเข้ามาซื้อขายเมื่อเดือนมีนาคม โดยมีตระกูล “ปัจทรัพย์” ซึ่งนำโดย “ศุภโชค ปัญจทรัพย์” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนมากกว่าครึ่ง แต่หุ้นตัวร้อนอย่าง A5 เป็นหุ้นที่มีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องรายชื่อของผู้ถือหุ้นในระดับรองลงไปอยู่ตลอด โดยล่าสุด “ทวีรัช ปรุงพัฒนสกุล” นักลงทุนแนววีไอ (Value Investor) ที่ได้ชื่อว่ามีสไตล์การลงทุนแบบระยะยาว ก็เข้ามาเป็นผู้ถือจำนวน 179 ล้านหุ้น ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 แทนที่ เกรียงไกร ศิระวณิชการ อดีตผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 รายเดิมที่ปรับลดจำนวนการถือหุ้นลงเหลือ 77 ล้านหุ้น จนขยับลงมาอยู่ในอันดับที่ 6 โดยหุ้นทั้ง 77 ล้านหุ้น ที่ว่านี้ จะยังติดไซเรนท์ทำให้ไม่สามารถขายออกมาอีกหลายเดือน 
 

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ชัดเจนว่าจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ “เกรียงไกร” ส่งไม้ต่อไปให้ “ทวีรัช” มีต้นทุนเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่แน่ๆ นั่นก็คือ หุ้นจำนวนกว่า 200 ล้านหุ้น ที่ “เกรียงไกร” เคยถือ มีต้นทุนแค่เพียงไม่กี่สิบสตางค์เท่านั้นเอง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าการลากราคา A5 ที่กำลังเกิดขึ้น จะเป็นการลากไปปล่อยเหมือนกับที่เคยทำมาแล้ว ในวันแรกที่กลับมาซื้อขายก็เป็นไปได้ ของแบบนี้มันไม่แน่..ใครจะรู้
 

วันที่ 1 เม.ย. 2565 ซึ่งทาง A5 ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ถึงการปรับโครงสร้างดังกล่าวเป็นต้นมา ราคาหุ้น A5 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทะลุ 3 บาท มายืนจุดสูงสุด 3.46 บาท และหากนับจากราคาปิด ณ สิ้นวันที่ 31 เม.ย. เปรียบเทียบกับราคาหุ้นนับจากมีการปรับโครงสร้างปรับเพิ่มขึ้น 64.64% แล้ว จาก 1.98 บาท มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นจากหลักหลายร้อยล้านบาท ขึ้นไปเกือบแตะ 3,000 ล้านบาท นับวันที่ 25 เม.ย.65 แค่ 3 บาท ตอนนี้ขึ้นไปหุ้นละ 3.38 บาท
 

หลังจาก บ.ไทรทันฯ จัดประชุมผู้ถือหุ้นและทุกอย่างผ่านไปได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าพ้นวิกฤติทั้งจากโควิด และ วิกฤติจากหนุ่มที่ชอบแอบอ้าง ล่าสุดเห็นว่า “ฮี” ถือหุ้นเหลือแค่เพียงกว่า 200 ล้านหุ้น กับ กลุ่มเพื่อนซี้ แก๊งปลูกกัญชา ถือหุ้นกองทุนได้แค่ปีเดียว ก็ดันเปลี่ยนมาเป็นชื่อตัวเอง โดยอาศัยอำนาจบารมีของ “เจ้าสัว” มาแอบอ้างระดมทุน แต่ได้ข่าวแว่วๆ ว่าตอนนี้ “ฮี” ถูกตัดหางปล่อยวัดเสียแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของ ไทรทันฯ ที่พ้นวิกฤตินี้ และกำลังรอลุ้นผลประกอบการ Q1 เพราะนักลงทุนหลายรายเจ็บตัวจากกองทุนนี้นับไม่ถ้วน ทั้งนี้อีกข่าวดี ที่ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางบริษัทลูกของไทรทันฯ อย่าง ไทรทัน เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จะได้ต้อนรับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว มาเป็นประธานของบริษัทนี้อีกด้วย   
 

*** ไม่รู้ว่า ZIGA ของ “เสี่ยหนุ่ย” เล่นจนหมดรอบแล้ว หรือว่ากำลังทุบเอาของ...หรือว่ากำลังออกอาการสำลักกำไร ที่ได้มาจากการลากราคารอบใหม่ เพราะทุกอย่างที่เจ๊เมาธ์พูดมา...มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น 
 

อย่างไรก็ตามหากจะว่ากันด้วยเรื่องของปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ก็ต้องยอมรับว่า ZIGA เป็นบริษัทที่ประกาศตัวว่า ทำเหมืองขุดบิทคอยน์ที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าบริษัทที่ประกาศตัวว่า ทำเหมืองขุดบิทคอยน์เช่นเดียวกันรายอื่นๆ ซึ่งผลการดำเนินงาน 1/65 จะพิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ที่บอกว่ารับรู้รายได้เต็มไตรมาส ว่าทำรายได้คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ เอาเป็นว่าเรามารอดูด้วยกันว่าจะสมกับที่คุยเอาไว้จริงหรือเปล่า
 

*** จนถึงตอนนี้นับตั้งแต่เพิ่มทุนรอบใหม่ ราคาหุ้นของ MAKRO ก็ยังไม่สามารถขยับขึ้นไปยืนจุด “ดอย” ที่ราคา 43.50 บาทได้เลย และหากจะถามเจ๊เมาธ์ว่าเป็นได้หรือไม่ที่ MAKRO จะสามารถทำให้นักลงทุนหลุดดอยที่ว่านี้ เจ๊ก็ขอยืนยันว่าเป็นไปได้แน่นอน เพียงแต่อาจจะต้องรอเวลานานไปอีกนิด เช่นอาจจะต้องรอให้เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของประเทศกลับเข้าไปสู่ภาวะก่อนโควิดอีกครั้ง หรือไม่ก็อาจจะต้องรอให้เห็นกำไรที่ชัดเจนเพียวๆ แบบที่ไม่มีรายได้พิเศษเข้ามาหลอกให้ดีใจโน้นเลยเจ้าค่ะ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,779 วันที่ 1 - 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565