ความคิดแปลกๆ ของชายชรา

23 เม.ย. 2565 | 07:40 น.
2.8 k

คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ช่วงที่ผ่านมา ผมมีเพื่อนสนิทสามท่านที่เป็นผู้สูงอายุกว่าผมร่วมสิบปี ได้เข้ามาพบและแลกเปลี่ยนความคิดกัน บางเรื่องบางตอนที่คุยกันนั้น มีความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ ให้ผมได้คิดต่อ หรือวาดมโนภาพตามอย่างสนุกสนานทีเดียว ผมขออนุญาตนำมาเล่าต่อ แต่ไม่ต้องลอกเลียนแบบนะครับ เดี๋ยวถูกเรียกเก็บลิขสิทธิ์นะจะบอกให้!!!!
      

เพื่อนท่านแรก เป็นชายที่ไม่ได้มีครอบครัว พวกเราก็ถามท่านว่า อนาคตท่านจะฝากเนื้อฝากตัวไว้กับใคร ท่านบอกว่าไม่มีปัญหาต้องกังวล เพราะว่าน้องชายท่านได้ยกลูกชายคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม คิดว่าน่าจะฝากผีฝากไข้ได้ เพราะท่านดูแลเด็กคนนี้เป็นอย่างดี 

อีกอย่างหนึ่งที่ท่านมั่นใจ เพราะเด็กคนนี้ปัจุบันอายุยี่สิบกว่าแล้ว ท่านได้ส่งเสียให้รับการศึกษาที่ดีมาก อีกทั้งยังมีนิสัยที่น่ารักด้วย ผมก็บอกว่าโชคดีมากแล้วครับ เห็นด้วยกับท่านที่ต้องมีคนที่สามารถดูแลให้ยามแก่ชราได้ 


แต่เพื่อนอีกคนหนึ่งก็พูดว่า ให้ระวังไว้ อย่าเพิ่งวางใจว่าจะโชคดีเสมอไป ขอให้รอดูสะใภ้ที่จะตามมาในอนาคตก่อน แล้วค่อยวางใจ เพราะเด็กผู้ชายที่ยังโสดอยู่ อาจจะน่ารักนิสัยดี แต่พอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เมื่อเจออิทธิพลพายุอารมณ์ของภรรยา ที่เราไม่รู้ว่าเธอจะเป็นคนเช่นไร? ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ ? 

ผมเองก็คิดว่านั่นเป็นบุญวาสนาของตัวเขาเองครับ อะไรก็ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้ แต่เพื่อนอีกคนก็พูดต่อว่า มรดกของคุณก็อย่าเพิ่งแบ่งสิ ให้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามีทีท่าแปลกๆ เมื่อไหร่ ก็ยังสามารถแก้ไขพินัยกรรมได้ ซึ่งก็เป็นมุมมองหนึ่งที่อาจจะมองโลกในหลายแง่ก็ได้เหมือนกันนะครับ
 

ส่วนเพื่อนอีกท่านหนึ่ง ก็เล่าว่าท่านเองมีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่แล้ว แต่ภรรยาของท่านก็กระเสาะกระแสะมาตลอด ด้วยโรคประจำตัวที่เยอะมาก ปัจุบันนี้ก็เป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ที่บ้าน ส่วนลูกๆ ก็แยกครอบครัวไปหมด ตอนนี้ก็อยู่กันเพียงสองเฒ่า ท่านเองยังสามารถดูแลภรรยาได้ ก็ไม่อยากจะจ้างเด็กพยาบาลมาดูแลภรรยา เพราะตัวภรรยาเองไม่ยอมให้ใครจับเนื้อต้องตัวง่ายๆ 


การที่จะเช็ดเนื้อเช็ดตัว ภรรยามักจะให้สามีทำให้เท่านั้น ไม่ยอมแม้แต่ช่วงที่นอนโรงพยาบาลที่มีนางพยาบาลมาทำให้ก็ไม่ได้ ท่านไม่รู้ว่าอนาคตถ้าภรรยาจากไป ท่านคงจะอยู่คนเดียวแน่ๆ เพราะไม่อยากไปรบกวนลูกๆ 


ดังนั้นในมุมมองของเพื่อนคนแรก ที่จะฝากผีฝากไข้กับลูกบุญธรรม ท่านคิดว่าคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด นอกเสียว่าจะจากโลกนี้ไปด้วยอาการไม่ต้องนอนติดเตียง ส่วนตัวท่านเองก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองเลยครับ
  

เพื่อนอีกท่านก็เล่าว่า ท่านมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งวันนั้นท่านได้เอ่ยชื่อเพื่อนที่อ้างถึงให้พวกเราฟัง  ท่านเล่าบอกว่าเพื่อนท่านนี้ ก็มีคุณพ่อที่อายุมากแล้ว ซึ่งเพิ่งจากโลกนี้ไปได้ไม่นานมานี้เอง ในช่วงที่คุณพ่อมีชีวิตอยู่นั้น คุณแม่ได้จากโลกนี้ไปก่อนเกือบสิบปี 


และเมื่อท่านเริ่มอายุมากขึ้น ความเหงาเริ่มมาเยือน เพราะลูกๆ ทุกคน ต่างต้องมีภารกิจในกิจการของตนเองหมด ทำให้ไม่มีเวลาดูแลคุณพ่อได้ ทำให้ท่านต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว โดยลูกๆ ได้จ้างคนใช้ไว้คอยดูแลท่าน 


ซึ่งตัวท่านเองก็เป็นคนที่มีพื้นฐานความรู้ที่ดีมากคนหนึ่ง จึงพูดคุยกับคนใช้ที่เป็นคนงานต่างชาติไม่ค่อยจะเป็นภาษาเดียวกันได้ ทำให้ชีวิตท่านทุกวัน ก็จะหมกอยู่กับหนังสือเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นที่น่าเห็นใจของลูกๆ มาก 
 

มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนผมเล่าว่า ลูกชายคนหนึ่งได้เป็นคนเสนอให้คุณพ่อแต่งงานใหม่เลย ท่านก็บอกว่าท่านแก่แล้ว ท่านไม่เอา ทั้งๆ ที่ลูกๆ ทุกคนต่างเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่ท่านไม่เห็นด้วย เหตุผลเพราะว่าจะหาสาวคนไหนมามีความผูกพันได้ 


อีกอย่างหนึ่งท่านบอกว่าถ้าหาคนที่อายุน้อยๆ มาแต่งงานด้วย ท่านก็ยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะเหมือนเป็นการเอาเปรียบเด็กผู้หญิงมาก อีกทั้งมรดกก็มีเยอะแยะ เกรงว่าอีกหน่อยถ้าท่านจากไป จะมีปัญหาตามหลังอีกมาก  


จนท้ายที่สุดลูกๆ จึงบอกคุณพ่อว่า ลูกจะหาพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาลที่มีความรู้มาเป็นผู้ดูแลก็แล้วกัน เพราะจะได้พูดคุยเสวนากันในทิศทางเดียวกันได้ ท่านจึงตกลง จากนั้นลูกชายจึงได้ไปเสาะหาพยาบาลมาท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงม่าย และได้บอกกับพยาบาลท่านนั้นว่า เขายินดีจ่ายให้ปีละหนึ่งล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องทำสัญญากันล่วงหน้าว่า จะต้องดูแลคุณพ่อของเขาอย่างดี เสมือนหนึ่งภรรยาดูแลปรนนิบัติต่อสามี จนกว่าชีวิตจะหาไม่ 


และทุกปีมารับเงินค่าดูแลหนึ่งล้านบาทนั้นไปได้เลย พยาบาลท่านนั้นก็ตกลงเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะคิดว่าคงจะดูแลอีกไม่เกินสิบปี ก็สามารถเป็นอิสระได้แล้ว อีกทั้งยังได้เงินตอบแทนปีละล้านบาท ซึ่งก็เป็นเงินก้อนที่ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
 

สรุปคุณพ่อท่านนั้น หลังจากที่พยาบาลมาช่วยดูแลให้ ก็มีชีวิตอยู่ได้อีกเกือบสิบห้าปี เมื่อตอนที่ท่านจากไป ก็จากไปอย่างมีความสุข เพื่อนผมเล่าว่า ลูกๆ ของท่านยังให้โบนัสพิเศษไปอีกหลายตังค์ รวมเบ็ดเสร็จได้เงินไปทั้งหมดเกือบยี่สิบล้านบาท เรียกว่าทุกฝ่ายต่างแฮปปี้เอนดิ้งครับ 


ก็เป็นเคสที่แปลกประหลาดสำหรับผมมาก อีกทั้งถ้ามองอย่างศีลธรรมอันดีงามของไทยเรา ผมคิดว่าก็น่าจะขัดกับศีลธรรมอันดีงาม ไม่ควรจะมีความคิดนี้เลยครับ แต่ถ้ามองในการให้ความสุขกับคุณพ่อที่เป็นผู้สูงอายุ อีกทั้งก็เป็นการสมยอมของฝ่ายหญิง อันนี้ก็แล้วแต่คนจะคิดนะครับ