เยี่ยมชมสถานบ้านพักคนชราในประเทศจีน

21 ส.ค. 2564 | 06:00 น.

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ครั้งที่ผ่านมา ผมเล่าค้างไว้ถึงการเดินทางเข้ามาดูงานบ้านพักคนชราในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งผมได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนสนิท ที่เขาเองก็คาดหวังว่าผมจะร่วมลงทุนกับเขา เพราะจะทำให้เขาสามารถนำโครงการดังกล่าวไปขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับทางรัฐบาลได้ เพราะจะทำให้เขาได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งการจัดสรรที่ดินในการสร้างสิ่งปลูกสร้างของโครงการ และการได้รับการลดหย่อนภาษี ซึ่งในเบื้องต้นผมได้เล่ามาในบทความครั้งที่ผ่านมาไปแล้ว วันนี้เรามาต่ออีกนิดนะครับ
         

ในการเดินทางไปเมืองชิงต้าว มณฑลซานตง เพื่อไปตามคำเชิญนั้น ผมต้องเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ก่อน จากนั้นสามารถเดินทางด้วยรถไฟไปก็ได้ หรือจะต่อเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองชิงต้าวก็ได้ ซึ่งผมเองเลือกที่จะใช้การต่อเครื่องบินภายในประเทศ เพราะเวลามีน้อย เมื่อไปถึงชิงต้าว เพื่อนก็มารับที่สนามบิน แล้วจึงบอกผมว่า ให้ผมพักผ่อนที่ชิงต้าวก่อนหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อไปดูสถานบ้านพักคนชราที่เมืองเทียนจิน ซึ่งจะต้องนั่งเครื่องบินต่อไปอีกประมาณชั่วโมงเศษๆ ผมก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย ทำไมไม่บอกผมก่อน ผมจะได้ตรงไปที่นั่นเลย ไม่ต้องเสียเวลา แต่เขาก็บอกว่าอยากให้ผมมาที่นี่ก่อน เพราะว่าการลงทุนในอนาคต จะมาทำกันที่เมืองชิงต้าวนี่แหละ  ผมเลยขอให้เขาช่วยเปลี่ยนวันเดินทางออกไปอีกสักวันได้มั้ย เพื่อที่จะดูบรรยากาศของเมืองชิงต้าวก่อน จะได้พอเสร็จจากเมืองเทียนจิน ผมไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง สามารถตรงกลับไปเซี่ยงไฮ้แล้วขึ้นเครื่องต่อเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากไป 

หลังจากที่ผมได้ตะเวนดูไปกับเพื่อนทั่วเมืองชิงต้าว และได้เห็นบรรยากาศของเมือง ยอมรับเลยว่าสวยมาก อากาศที่นี่ดีมากๆ แม้จะเป็นเมืองที่อยู่ค่อนไปทางภาคเหนือของประเทศ แต่ที่นี่โอกาสที่จะมีหิมะตกน้อยมาก เพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล อีกทั้งอาหารการกินที่นี่อุดมสมบูรณ์มากๆ ภายในเมืองก็คล้ายๆ กับเมืองทั่วไปในประเทศจีนนั่นแหละครับ มีแต่ความคึกคัก ส่วนพอขับรถทะลุเมืองออกมาทางชายทะเล ปรากฏว่ามีบ้านที่เป็นวิลล่าหลังใหญ่ๆ อยู่ตามชายหาดค่อนข้างจะเยอะ เพื่อนบอกว่าเป็นบ้านตากอากาศของกลุ่มคนรวยของชาวจีน ที่ชอบมาซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สองกัน แต่ละบ้านมีเนื้อที่ใหญ่เอาการอยู่ครับ ถัดออกไปทางริมชายหาด เราจะเห็นอาคารต่างๆ ที่มีความเป็นสไตล์บาวาเรียเรียงรายกันอยู่มากมาย เรียกว่ากลิ่นอายของความเป็นเยอรมันมีให้เห็นพอควรเลยครับ

ในส่วนของโครงการบ้านพักคนชรา เท่าที่สอบถามเพื่อนดูว่ากลุ่มเป้าหมายที่หากได้ลงทุนทำบ้านพักคนชราที่นั่น เขาคิดว่าจะรองรับคนในเมืองชิงต้าว คนท้องถิ่นของมณฑลซานตงหรือว่ารับคนจีนทั่วประเทศ เขาบอกว่าน่าจะได้กลุ่มคนมีฐานะทั่วประเทศแน่นอน เพราะปัจจุบันนี้คนจีนที่มีฐานะ แต่ลูกหลานต้องทำงานหาเงิน ไม่มีเวลามาดูแลผู้สูงอายุมีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในสังคมเมืองใหญ่ เกือบจะทั้งหมด ต่างชื่นชอบบรรยากาศของเมืองชิงต้าวกันทั้งนั้น ผมจึงถามต่อว่า แล้วในประเทศจีนนี้ มีเมืองที่มีลักษณะนี้มีอยู่มากมั้ย เขาบอกว่าก็มีนะ เช่นที่เกาะไฮ่หนานหรือเกาะไหหล่ำ ก็มีอยู่หลายเมืองที่สวยงามไม่แพ้กัน แต่เหตุผลที่เขาเลือกที่เมืองชิงต้าว เพราะว่าคนเป็นคนที่เกิดในเมืองนี้ และอีกอย่างคนทางเหนือจะไม่คุ้นชินกับอากาศร้อนทางใต้ ในขณะเดียวกันที่เมืองนี้ แม้จะหนาวมากในฤดูหนาว แต่หิมะก็ไม่ค่อยจะมีให้เห็น ไม่เหมือนเมืองที่อยู่ในระนาบเดียวกันในมณฑลอื่นๆ อีกอย่างความมีเสน่ห์ของเมืองนี้ อยู่ที่อาคารบ้านช่องจะมีกลิ่นอายของเยอรมันอยู่  และสำหรับคนที่ชอบดื่มเบียร์ ที่นี่จะเป็นสวรรค์เลย เพราะที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของโรงงานเบียร์ชิงต้าว ที่เป็นเบียร์ที่ดีที่สุดในประเทศเลย ดังนั้นเขาจึงเลือกเมืองนี้
          

ในวันต่อมาเราก็เดินทางไปดูงาน สถานบ้านพักคนชราที่คนอื่นเขาทำกันที่เมืองเทียนจิน ต้องบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมเยอะมาก โรงงานก็เยอะ อีกทั้งมลพิษทางอากาศก็ไม่น้อย ผมก็แปลกใจว่าคนที่ลงทุนในบ้านพักคนชรา ทำไมถึงเลือกที่นี่ แต่ที่ได้ไปดูมา ก็เห็นมีผู้ที่เข้ามาพักอาศัยก็มีอยู่เยอะพอควร คงเป็นเพราะว่าเมืองนี้มีประชากรเยอะนั่นเอง ส่วนการให้บริการภายในบ้านพัก พอผมได้รับฟังจากผู้ที่มาบรรยายแนะนำโครงการ ผมก็คิดว่าไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเท่าที่คาดการณ์ไว้เลย ธรรมดามากเลยครับ ดังนั้นถ้าหากเราจะนำมาเปรียบเทียบกับบ้านพักผู้สูงวัยของประเทศญี่ปุ่น ในสายตาของผมในฐานะผู้เข้าไปดูงาน ผมคิดว่ามาตรฐานต่างๆ ยังห่างจากญี่ปุ่นอีกเยอะมาก คือเริ่มจากผู้สูงอายุมาอยู่อาศัย ความสุภาพหรืออัธยาศัยของผู้คน เครื่องไม้เครื่องมือ ความทันสมัย อาหารการกิน การให้บริการ ความพิถีพิถันของสถานที่ ถ้าเราจะให้คะแนน คงจะได้คะแนนไม่ถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าที่ญี่ปุ่นเยอะเลยครับ