ชีวิตผู้สูงวัยของชาวจีนแผ่นดินใหญ่

14 ส.ค. 2564 | 05:30 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ส.ค. 2564 | 13:29 น.
2.9 k

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ชีวิตผู้สูงวัยของชาวจีน นับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราจะเห็นปัญหาของชาวจีน ที่มีประชากรล้นประเทศมาช้านาน ทำให้รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนเอง ก็ได้เริ่มวิตกกังวลต่อปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยได้ริเริ่มที่จะดำเนินนโยบายควบคุมประชากรที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศจีน ด้วยการออกแบบนโยบายลูกคนเดียวขึ้น หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “นโยบายการวางแผนครอบครัว” โดยเริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1978 หรือปีพ.ศ. 2521 ซึ่งในช่วงปีดังกล่าวนั้น ทางการจีนได้กำหนดให้ประชาชนมีบุตรได้เพียงคนเดียว แต่มีข้อยกเว้นให้แก่ชนชาติพันธุ์หรือชนกลุ่มน้อย ซึ่งมีเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในข้อยกเว้นมากมายหลายเผ่าพันธุ์มาก ให้สามารถมีบุตรได้สองคน แต่ต้องมีบุตรคนแรกเป็นเพศหญิงก่อน จึงจะสามารถมีลูกคนที่สองได้ แต่จะบังคับใช้กับชาวฮั่น(คนจีนที่ไม่ใช่ชนชาติพันธุ์) จะถูกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จนกระทั่งในปีค.ศ.2015 หรือเมื่อหกปีที่ผ่านมา จึงได้ลดการเข้มงวดลง แต่อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายมา 37 ปี ก็ทำให้พฤติกรรมของประชาชน ได้เปลี่ยนไปจากอดีตกาลที่ชอบมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองไปเยอะ อีกทั้งในสภาวะเศรษฐกิจที่บีบบังคับ ผู้คนเคยชินที่จะมีลูกน้อยคน ทำให้ประชาชนชาวจีน ก็ไม่ต้องการที่จะมีลูกหลานเต็มบ้าน เหมือนในอดีตที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน


จากนโยบายการวางแผนครอบครัว ทำให้ปัญหาที่ตามมาในสังคมจีนมีเยอะมาก เพราะลูกหนึ่งคน จะต้องดูแลพ่อ-แม่ของทั้งสองฝ่ายมากถึงสี่คน และหากมีลูกอีกหนึ่งคน ทำให้ในครอบครัวที่มีคนหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว (ในกรณีที่ภรรยาไม่ทำงาน) แต่คนที่จะต้องกินต้องใช้ทั้งหมดรวมทั้งตัวสามี-ภรรยาด้วย มากถึง 7 คน ในขณะที่ความกดดันดังกล่าว ยังต้องถูกสืบทอดต่อไปถึงลูกที่ต้องรับภาระอีกต่อไป ดังนั้นความกดดันที่เด็กรุ่นใหม่ได้รับ หนักหน่วงกว่ารุ่นพ่อเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเราจึงได้เห็นการดิ้นรนต่อสู้ในการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่น หากนโยบายดังกล่าวยังคงเดินหน้า ซึ่งในปัญหาดังกล่าวนี้ รัฐบาลจีนเองก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี 

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนรุ่นปู่ย่า-ตายายที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ก็ได้เกิดปัญหาที่คนรุ่นพ่อ-แม่ ไม่สามารถมีเวลาที่จะเลี้ยงดูรุ่นปู่ย่า-ตายายได้ ดังนั้นการดำเนินการของบ้านพักผู้สูงวัยในประเทศจีน จากเดิมที่เคยมีแต่ในการดำเนินการของภาครัฐ ก็ได้เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นภาคเอกชนเริ่มมีบทบาทเข้ามาดำเนินการร่วมทันที ผมเองมีเพื่อนที่เป็นชาวจีนท่านหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองชิงต่าว มณฑลซานตง ซึ่งเป็นเมืองชายทะเลทางฝั่งภาคเหนือตอนล่าง เป็นเมืองที่สวยงามมาก เมืองนี้เคยอยู่ในการปกครองของชาวเยอรมัน ในยุคสงครามแปดประเทศที่บุกเข้าไปทำการรุกรานประเทศจีน เพื่อหวังจะยึดครองเอามาเป็นการเช่าระยะยาว เหมือนดังที่ประเทศอังกฤษได้ทำการยึดครองเกาะฮ่องกงสำเร็จ และประเทศโปรตุเกสเข้ายึดครองมาเก๊า ส่วนประเทศเยอรมันมุ่งไปทางทิศเหนือเป็นหลัก แต่ก็ไม่สามารถทำได้เหมือนดังประเทศอังกฤษและโปรตุเกส แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้ที่เมืองชิงต่าวมากมาย ดังนั้นเมืองชิงต่าวจึงเป็นเมืองตากอากาศชั้นดีเยี่ยมของประเทศสาธารณรัฐจีนในปัจจุบัน ความสวยงามและเป็นเมืองที่มีอากาศดีมากนี้ ทำให้เมืองชิงต่าว ได้เคยเป็นเจ้าภาพร่วมเป็นสถานที่แข่งขันการกีฬาทางน้ำ เมื่อครั้งที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาแล้ว เพื่อนผมจึงมีแนวคิดอยากจะทำบ้านพักผู้สูงอายุที่นั่น เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุนั่นเองครับ


เมื่อดูงานด้านบ้านพักคนชราที่ประเทศสิงคโปร์เสร็จสิ้นลง เผอิญว่าผมได้รับการชักชวนจากเพื่อนที่เมืองชิงต่าวคนที่ผมกล่าวมาข้างต้น ให้เดินทางไปดูงานที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนพอดี เหตุที่เขาชวนผมไปดู ก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลานั้น ทางการจีนเองได้มีการส่งเสริมให้มีนโยบายดึงเอานักลงทุนต่างชาติเข้าสู่ประเทศเขา เพื่อเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี่ในหลากหลายกิจการ และหนึ่งในกิจการที่เขากำลังส่งเสริมอยู่   ก็มีกิจการบ้านพักคนชรารวมอยู่ด้วย เพื่อนผมที่อยากจะลงทุนในด้านนี้ ก็เล็งเห็นว่า หากดึงเอานักลงทุนต่างชาติเข้าไปร่วมลงทุน ผลประโยชน์ที่จะได้รับจะมีอยู่อย่างมากมาย เช่นการเช่าที่ดินในการก่อสร้าง รัฐบาลก็จะจัดสรรที่ดินให้เช่าในราคาที่เหมาะสม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป อีกทั้งยังสามาถมีส่วนลดภาษีได้อีกด้วย ส่วนการลงทุนนั้น ทั้งๆที่เขาเองก็สามารถที่จะลงทุนคนเดียวได้อยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องการเงินลงทุนจากผมก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพื่อการดังกล่าวเขาจึงคิดว่าเขาต้องหาผู้ร่วมทุนที่จะทำให้เขาได้มีผลประโยชน์มากกว่าการลงทุนคนเดียว จึงได้ชักชวนให้ผมไปลงทุนนั่นเองครับ

เมื่อได้รับการชักชวนว่าให้ไปดูงานที่มีคนอื่นเขาได้ดำเนินการอยู่แล้ว จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดียิ่ง ไม่ว่าจะได้ไปร่วมทุนหรือไม่ได้ร่วมทุนก็ตาม จึงทำให้ผมเห็นว่าเป็นการเสริมสร้างโลกทัศน์ให้กับตัวเรา อีกทั้งได้รับความรู้ในสิ่งที่เราไม่ต้องไปลองผิดลองถูกในอนาคต ต่อให้ไกลแค่ไหน หรือต้องเสียเวลามากน้อยเท่าใด ผมย่อมไม่ปล่อยให้ผ่านไปอย่างแน่นอน ผมจึงรับปากที่จะไปดูงานเลยทันทีโดยไม่ต้องลังเลใจเลยครับ 
 

อาทิตย์นี้ก็หมดหน้ากระดาษอีกแล้ว อาทิตย์หน้าผมจะมาเล่าให้อ่านเล่นนะครับ เพราะตอนแรกที่ไป เขาได้ชวนให้ผมไปที่เมืองชิงต่าว แต่พอไปถึงที่นั่น ผมถึงได้รู้ว่าต้องต่อเครื่องบินไปดูที่เมืองอื่นอีก จากเดิมตั้งใจว่าจะไปแค่สี่วัน แต่สุดท้ายต้องเปลี่ยนจองวันกลับใหม่ เป็นต้องไปอยู่ที่ประเทศจีนนานถึงสิบวันเลยครับ  ติดตามอ่านดูนะครับ