8 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงนามคำสั่งบริหาร เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมถ่านหินของสหรัฐฯ ที่กำลังประสบภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะขัดแย้งกับความพยายามระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนก็ตาม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวและแหล่งข่าวอีกสองรายเปิดเผยว่า ทรัมป์จะลงนามคำสั่งดังกล่าวที่ทำเนียบขาวในเวลา 15.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หรือ 19.00 น. (GMT)
ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าถ่านหินในสหรัฐฯ ผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่า 20% ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ ซึ่งลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นศตวรรษที่ผลิตได้ถึงประมาณ 50% ตามข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน
การลดลงนี้มีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตก๊าซธรรมชาติด้วยเทคนิคแฟร็กกิง รวมถึงการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
คำสั่งบริหารดังกล่าวจะกำหนดให้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน คริส ไรท์ พิจารณาว่าถ่านหินที่ใช้ในการผลิตเหล็กควรได้รับการจัดให้เป็น "แร่ที่สำคัญ" หรือไม่
นอกจากนี้ ยังสั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ดัก เบอร์กัม ยุติการระงับชั่วคราวในการให้เช่าพื้นที่ถ่านหินบนที่ดินของรัฐบาลกลาง และให้ความสำคัญกับการให้เช่าพื้นที่เพื่อการทำเหมืองถ่านหิน
ทรัมป์ ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้หาเสียงด้วยคำมั่นสัญญาที่จะเพิ่มการผลิตพลังงานของสหรัฐฯ และพยายามยกเลิกกฎระเบียบด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568
หลังจากมีข่าวเรื่องการลงนามคำสั่งบริหารนี้ หุ้นของบริษัทผู้ผลิตถ่านหินของสหรัฐฯ อย่าง Peabody และ Core Natural Resources ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 9%
ในขณะเดียวกัน ความต้องการพลังงานของสหรัฐฯ กำลังเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษ เนื่องจากการเติบโตของศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูงสำหรับปัญญาประดิษฐ์ รถยนต์ไฟฟ้า และสกุลเงินดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่น อีกทั้งยังปล่อยมลพิษที่เชื่อมโยงกับโรคปอดและหัวใจ ทำให้การใช้ถ่านหินลดลงอย่างมากในยุคของพรรคเดโมแครตและอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ผู้สนับสนุนอุตสาหกรรมถ่านหินกล่าวว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ในสหรัฐฯ จ่ายไฟฟ้าให้กับโครงข่ายเพียงประมาณ 40% ของเวลาเท่านั้น และตัวเลขนี้สามารถเพิ่มขึ้นได้ผ่านการลดกฎระเบียบและมาตรการสนับสนุนอื่นๆ