ภาษีทรัมป์ฟาดเวียดนาม 46% บริษัทข้ามชาติชื่อดังปั่นป่วน

04 เม.ย. 2568 | 13:30 น.
อัปเดตล่าสุด :04 เม.ย. 2568 | 13:30 น.

โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามสูง 46% กระทบต่อเศรษฐกิจหนัก ธุรกิจข้ามชาติชื่อดังโดนลูกหลง แต่ยืนยันเป้าหมายดันเศรษฐกิจโต 8%

เวียดนามกำลังเผชิญกับแรงกดดันครั้งใหญ่ หลังจากสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าหลายประเภทจากเวียดนาม ซึ่งบางรายการอาจโดนภาษีสูงสุดถึง 46% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 ส่งผลให้การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นประมาณ 30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 136.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และมีสัดส่วนถึง 26% ของ GDP

มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยม (Economic Nationalism) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พยายามลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าและส่งเสริมการผลิตภายในประเทศสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดแค่เวียดนามเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อบริษัทข้ามชาติที่ใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐ

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากมาตรการภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจเวียดนามในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคการส่งออก การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยน เงินเฟ้อ และการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ภาษีที่สูงขึ้นนี้จะทำให้ราคาสินค้าเวียดนามในสหรัฐฯ แพงขึ้นทันที และส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น จีน อินเดีย หรือเม็กซิโก อุตสาหกรรมหลักที่เป็นหัวหอกในการส่งออกของเวียดนาม เช่น สิ่งทอ รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม้ และอาหารทะเล จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก คาดการณ์ว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อาจลดลงอย่างมากถึง 20-30% หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

หากธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) เข้าแทรกแซงโดยการขายเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน USD/VND อาจเพิ่มขึ้น 3-5% ในปี 2568

เงินดองเวียดนามอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเป็น "กันชน" ในระดับหนึ่ง ทำให้แรงกดดันต่อการปรับอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้นอาจไม่รุนแรงนัก อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า SBV ยังคงมีเครื่องมือนโยบายในการควบคุมสถานการณ์ในระยะสั้นได้

ผลกระทบจากภาษี 46% นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคการส่งออกเท่านั้น การเติบโตของ GDP ในปี 2568 อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาครัฐ ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบต่อเนื่องจากการส่งออกที่หดตัวจะนำไปสู่การบริโภคภายในประเทศที่ลดลง เงินเฟ้อที่สูงขึ้น และอาจทำให้การดึงดูดและการเบิกจ่าย FDI ในระยะสั้นลดลงด้วย

สำหรับ บริษัทข้ามชาติ ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาต่างได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทค้าปลีกและแบรนด์ดังจำนวนมาก เช่น Nike, American Eagle, Wayfair, Deckers และ Hasbro หันมาพึ่งพาเวียดนามในการผลิตสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่รองเท้าผ้าใบไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่เมื่อทรัมป์ขยายสงครามการค้าไปทั่วโลก จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป หุ้นของบริษัทเหล่านี้ร่วงลงทันทีที่ข่าวภาษีใหม่ถูกประกาศ

โดยเฉพาะ Nike ซึ่งผลิตรองเท้าประมาณครึ่งหนึ่งในจีนและเวียดนาม โดยประมาณ 25% มาจากเวียดนาม จะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับ Adidas และผู้ผลิตรองเท้ารายใหญ่อื่นๆ ที่พึ่งพาเวียดนามอย่างมาก American Eagle Outfitters ซึ่งมีการผลิตในเวียดนามและจีนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในภาคเฟอร์นิเจอร์ Wayfair ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าจากเวียดนามถึง 26.5% ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้ ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่อย่าง Hasbro และ Mattel ซึ่งทำงานร่วมกับโรงงานในเวียดนาม ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาษีที่เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการหลายรายแสดงความกังวลอย่างมาก โดยบางรายถึงกับกล่าวว่ามาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขาอย่างรุนแรง

 

สรุปใครกระทบหนักที่สุด? ภาคธุรกิจที่ต้องจับตา

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการภาษีครั้งนี้ ได้แก่

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ – เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Apple, Samsung, Dell และ Intel การขึ้นภาษีจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และอาจทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์ด้านซัพพลายเชน
  • สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม – เวียดนามเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้ารายใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก โดยบริษัทข้ามชาติอย่าง Nike และ Adidas ใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตหลัก หากต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า อาจกระทบความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากเวียดนามในตลาดสหรัฐ
  • อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และไม้แปรรูป – สหรัฐเป็นตลาดส่งออกหลักของเฟอร์นิเจอร์จากเวียดนาม หากต้องเสียภาษีเพิ่ม อาจทำให้คำสั่งซื้อลดลง

 

บริษัทข้ามชาติเตรียมย้ายฐานการผลิต?

หนึ่งในคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ บริษัทข้ามชาติที่ใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตจะดำเนินกลยุทธ์อย่างไรต่อไป บางบริษัทอาจเลือก กระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย อินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานผลิตไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเวียดนามยังคงมี ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี และข้อตกลงการค้ากับหลายประเทศ ทำให้บริษัทต่างชาติยังต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกับข้อได้เปรียบของการอยู่ในเวียดนาม

 

เวียดนามมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อย่างไร?

รัฐบาลเวียดนามแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ และยืนยันที่จะประสานงานกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อหาทางออกที่จะรับประกันการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคีที่มั่นคง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามกล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ และไม่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม

นายกรัฐมนตรีฟามมินชินห์ (Pham Minh Chinh) ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินทันทีเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ และได้สั่งการให้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลยังได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะรักษาเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 8% หรือมากกว่านั้นในปี 2568 แม้จะเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ก็ตาม นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า นี่เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาที่รวดเร็วแต่ยั่งยืน ขยายตลาด และกระจายห่วงโซ่อุปทาน

และเพื่อลดผลกระทบด้านลบ รัฐบาลเวียดนามมีแผนที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีหรือขอยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ ควบคู่ไปกับการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อสร้างสมดุลทางการค้า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การเพิ่มการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนภาครัฐ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การสนับสนุนธุรกิจให้ปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อรองรับตลาดภายในประเทศ และการควบคุมปริมาณเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อ รัฐบาลยังสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ กระจายตลาดส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ผ่านข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ ที่เวียดนามมีอยู่

แม้ว่าภาษี 46% จากสหรัฐฯ จะเป็นแรงกระแทกครั้งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าผลกระทบที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองเชิงนโยบายของเวียดนาม หากรัฐบาลสามารถดำเนินมาตรการที่รวดเร็วและยืดหยุ่น เวียดนามก็อาจจะสามารถลดความเสียหายและค้นหาโอกาสจากความท้าทายนี้ได้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์สุดท้ายของการเจรจาและการดำเนินนโยบายต่างๆ นักวิเคราะห์แนะนำให้ภาคธุรกิจติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่เร่งรีบในขณะนี้ โดยเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเวียดนาม ความเชื่อมโยงในภูมิภาค และความสัมพันธ์ทางการค้าที่กำลังเติบโต จะยังคงทำให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลกต่อไป

 

อ้างอิง: Vietnam Investment Review, Vietnam Briefing, CNBC, Reuters, Vnexpress