ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำระดับสูงจากสหภาพยุโรป (EU) เตรียมเดินทางเยือนฮานอยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภาษีการค้าจากสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น เวียดนามกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางการทูตครั้งสำคัญ
จีน สหภาพยุโรป และเวียดนามต่างเป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลอย่างมากกับสหรัฐฯ และล้วนเผชิญกับมาตรการภาษีชุดใหม่จากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศเพิ่มในวันพุธนี้ (2 เม.ย.68) ทำให้เกิดกระแสการเจรจาทางการทูตที่คึกคักในภูมิภาคเอเชีย
แหล่งข่าวทางการทูตของเวียดนามเปิดเผยว่า สี จิ้นผิง มีกำหนดเดินทางเยือนฮานอยในวันที่ 14 เมษายนนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในรอบ 18 เดือน โดยการเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงกัมพูชาและมาเลเซียด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนยังไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับแผนการเดินทางครั้งนี้
หนึ่งในประเด็นหลักที่คาดว่าจะอยู่ในการเจรจาคือ โครงการรถไฟที่เชื่อมโยงภาคเหนือของเวียดนามกับจีน ซึ่งทั้งสองประเทศได้ตกลงพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการค้า นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเวียดนามกำลังอยู่ระหว่างการอนุมัติให้ใช้งานเครื่องบินพาณิชย์ของจีนจากบริษัท COMAC ซึ่งอาจได้รับไฟเขียวอย่างเป็นทางการในช่วงที่สี จิ้นผิง เดินทางมาเยือน นับเป็นการเปิดทางให้สายการบินเวียดนามสามารถเช่า หรือแม้แต่สั่งซื้อเครื่องบินจากจีนในอนาคต
นอกจากผู้นำจีนแล้ว เวียดนามยังเตรียมต้อนรับผู้นำระดับสูงจากสหภาพยุโรป โดยนายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ ของสเปน มีกำหนดพบปะกับผู้นำเวียดนามในวันที่ 9 เมษายน ตามมาด้วยมารอช เชฟโควิช กรรมาธิการด้านการค้าของสหภาพยุโรป
ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และอูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ก็มีกำหนดเดินทางเยือนฮานอยในช่วงสัปดาห์ถัดไป เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างเวียดนามกับยุโรป
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปยังได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอาเซียนในการประชุมที่ฮานอยเมื่อเดือนที่แล้วว่า "กระแสของภาษีและการควบคุมการส่งออกกำลังเพิ่มขึ้น... เราต้องการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการค้าขายและลงทุนกับพันธมิตรที่ไว้ใจได้" แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสหภาพยุโรปในการขยายความร่วมมือกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ และจีน
เวียดนามกำลังกลายเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของมหาอำนาจโลก โดยการเยือนของผู้นำจากจีนและยุโรปในช่วงเวลาเดียวกันสะท้อนถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของเวียดนามที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่สหรัฐฯ เดินหน้ากดดันทางภาษีต่อประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุล เวียดนามกลับได้รับความสนใจจากทั้งจีนและสหภาพยุโรปที่ต้องการเสริมสร้างความร่วมมือและขยายตลาดการค้าในภูมิภาค อนาคตของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางของซัพพลายเชนระดับโลกจึงน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง