ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศเผชิญภาวะตึงเครียดครั้งใหม่ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% พร้อมกับขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% โดยเฉพาะการขึ้นภาษีพลังงานจากแคนาดา 10% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอาจนำไปสู่สงครามการค้าที่จะชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อ
นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา ประกาศมาตรการตอบโต้ทันทีด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 25% มูลค่ารวม 155,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยแบ่งการดำเนินการเป็นสองระยะ
ระยะแรก เริ่มวันอังคารที่จะถึงนี้พร้อมกับมาตรการของสหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้ามูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา ส่วนระยะที่สอง เริ่มในอีก 21 วันถัดไป ครอบคลุมสินค้ามูลค่า 125,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา
สำหรับสินค้าที่แคนาดาจะเก็บภาษีเพิ่มประกอบด้วย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มบูร์บอน ผลไม้และน้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำส้มจากรัฐฟลอริดา บ้านเกิดของประธานาธิบดีทรัมป์ เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา เครื่องใช้ในครัวเรือน
นอกจากนี้ รัฐบาลแคนาดายังพิจารณามาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มเติม เกี่ยวกับแร่ธาตุที่สำคัญ การจัดซื้อพลังงาน และความร่วมมือด้านอื่นๆ
ประธานาธิบดี เคลาเดีย เชนบาม ผู้นำเม็กซิโก ประกาศผ่านโซเชียลมีเดีย X (อดีต Twitter) ว่าได้สั่งการให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตามแผน B ที่เตรียมไว้ พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาของทำเนียบขาวที่ระบุว่ารัฐบาลเม็กซิโกมีพันธมิตรกับกลุ่มค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นข้ออ้างของรัฐบาลทรัมป์ในการขึ้นภาษี
เชนบามชี้แจงว่านับตั้งแต่เธอเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2024 รัฐบาลได้ยึดยาเฟนทานิลได้กว่า 20 ล้านโดส และจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดกว่า 10,000 คน ด้านนายริคาร์โด มอนเรอัล ผู้นำพรรครัฐบาลเม็กซิโกในรัฐสภา กล่าวกับสำนักข่าว Milenio ว่า มาตรการของสหรัฐฯ ครั้งนี้ถือเป็น "หนึ่งในการโจมตีที่รุนแรงที่สุดที่เม็กซิโกเคยได้รับในประวัติศาสตร์"
แม้จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่าเม็กซิโกเตรียมเก็บภาษี 5-20% กับสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการ เช่น เนื้อหมู, ชีส, ผักและผลไม้สด, ผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม, โดยจะยกเว้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในระยะแรก
ในปี 2023 แคนาดา-สหรัฐฯ มีการค้าชายแดนมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน โดยแคนาดาส่งออกสินค้าและบริการไปสหรัฐฯ มูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา คิดเป็น 17.8% ของ GDP แคนาดา และเกี่ยวข้องกับการจ้างงานกว่า 2.4 ล้านตำแหน่ง
ขณะที่เม็กซิโกเพิ่งแซงหน้าจีนขึ้นเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ส่งออกไปเม็กซิโกมูลค่า 322,000 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากเม็กซิโก 475,000 ล้านดอลลาร์
นางกาเบรียลา ซิลเลอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจของ Grupo Financiero BASE คาดการณ์ผลกระทบว่า หากมาตรการภาษี 25% คงอยู่ตลอดปี การส่งออกเม็กซิโกอาจลดลง 12% และ GDP อาจหดตัว 4% ในปี 2025
ขณะที่แคนาดา จะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อภาคพลังงานซึ่งคิดเป็น 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิตที่คิดเป็น 15%
ในการแถลงข่าวที่กรุงออตตาวา ทรูโดได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสองประเทศ ตั้งแต่การร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่หาดนอร์มังดี สงครามเกาหลี และอัฟกานิสถาน พร้อมเรียกร้องให้ชาวแคนาดาสนับสนุนสินค้าในประเทศและท่องเที่ยวภายในประเทศแทนการไปสหรัฐฯ โดยย้ำว่า "เราไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องนี้ แต่เราจะไม่ถอย"
ด้านรัฐบาลจีนออกแถลงการณ์คัดค้านการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% พร้อมกับแคนาดาและเม็กซิโกที่ถูกขึ้นภาษี 25% โดยมาตรการจะมีผลบังคับใช้วันอังคารที่จะถึงนี้
กระทรวงการคลังและพาณิชย์จีนระบุว่ามาตรการดังกล่าว "ละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง" และจะยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อคัดค้าน พร้อมดำเนินมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเปิดช่องทางการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
กระทรวงการต่างประเทศจีนตอบโต้ว่า "เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกา" พร้อมยืนยันว่าจีนได้ให้ความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดกับสหรัฐฯ และได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ทรัมป์ยอมรับว่าการขึ้นภาษีอาจสร้าง "ความเจ็บปวด" ให้กับชาวอเมริกัน แต่ยืนยันว่าจำเป็นต้องทำเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า การย้ายถิ่นผิดกฎหมาย และการลักลอบนำเข้ายาเสพติด โดยประกาศว่าจะไม่ยกเลิกมาตรการจนกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
นักวิเคราะห์คาดว่าสงครามการค้าครั้งใหม่นี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค และพลังงาน โดยอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตลดลง 1.5% ในปีนี้ และอาจผลักดันให้แคนาดาและเม็กซิโกเข้าสู่ภาวะถดถอย