Alphabet เตรียมปิดดีลซึ้อสตาร์ทอัพความปลอดภัย Wiz มูลค่า 8.3 แสนล้าน

15 ก.ค. 2567 | 16:22 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ค. 2567 | 16:31 น.

Alphabet บริษัทแม่ของ Google กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาซื้อกิจการ Wiz บริษัทสตาร์ทอัพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 8.3 แสนล้านบาท หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นการซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงที่สุดของ Alphabet นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

The Wall Street Journal รายงานข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า Alphabet กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาซื้อกิจการ Wiz บริษัทสตาร์ทอัพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 8.3 แสนล้านบาท  โดยการเจรจาซื้อกิจการนี้ใกล้จะบรรลุข้อตกลง และอาจมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ หากไม่มีอุปสรรคใดเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดีลซื้อกิจการนี้อาจต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน  ซึ่งกำลังเพ่งเล็งการควบรวมกิจการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการผูกขาดตลาด

Alphabet เตรียมปิดดีลซึ้อสตาร์ทอัพความปลอดภัย Wiz มูลค่า 8.3 แสนล้าน

Wiz เป็นบริษัทที่ก่อตั้งในอิสราเอลและปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ก ให้บริการด้านความปลอดภัยบนคลาวด์โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ บริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 สามารถทำรายได้ประมาณ 12,666 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.5 แสนล้านบาท

ปัจจุบัน Wiz มีพนักงาน 900 คนกระจายอยู่ในสหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย และอิสราเอล และมีแผนจะเพิ่มพนักงานอีก 400 คนในปี 2024 บริษัทได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายสำคัญ เช่น Sequoia Capital, Andreessen Horowitz และ Index Ventures นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อย่าง Microsoft และ Amazon

นักวิเคราะห์มองว่า การเข้าซื้อ Wiz ครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Alphabet ในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในยุคดิจิทัล และอาจเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันในตลาดคลาวด์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากการซื้อกิจการครั้งนี้สำเร็จ จะเป็นดีลที่มีมูลค่าสูงที่สุดของ Alphabet โดยทุบสถิติเดิมที่เคยซื้อ Motorola Mobility เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากทั้ง Alphabet และ Wiz เกี่ยวกับการซื้อกิจการดังกล่าว นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยีต่างจับตามองความเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์และการให้บริการคลาวด์ในอนาคต

ที่มา: The Wall Street Journal