เกิดเหตุระเบิด "ย่างกุ้ง" มุ่งเป้าบริษัทที่มีสายสัมพันธ์กองทัพเมียนมา

เหตุระเบิดหลายครั้งที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มบริษัทที่มีสายสัมพันธ์กับกองทัพเมียนมาในย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเมียนมา ได้ทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมากับฝ่ายต่อต้านขยับเข้าใกล้ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น

สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชีย รายงานว่า เหตุระเบิดในย่างกุ้งเมื่อเวลาประมาณ 4.00 น.ของวันอาทิตย์ที่ 10 มี.ค.ตามเวลาเมียนมา หรือ 4.30 น.ของวันเดียวกันตามเวลาไทย ขณะที่ สื่อท้องถิ่นเมียนมารายงานว่ากลุ่มกองโจรต่อต้านกองทัพเมียนมาได้จุดชนวนระเบิดจากระยะไกล โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

รายงานระบุว่า เหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ตอนใต้ของทะเลสาบกันดอจี ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของพนักงานบริษัทเมียนมา อีโคโนมิก คอร์ป (MEC) อันเป็นกิจการของกองทัพเมียนมา โดยเชื่อกันว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เล็งเป้าไปยังบรรดาผู้บริหาร MEC ที่รับผิดชอบด้านการนำเข้าและจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับอุปกรณ์การทหาร

ประชาชนในพื้นที่ระบุว่า รถยนต์ 6 คันได้รับความเสียหายจากระเบิดครั้งนี้ โดยเศษระเบิดได้เจาะทะลุประตูรถยนต์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของระเบิดดังกล่าว

"เราได้ยินเสียงระเบิดที่ฟังดูคล้ายปืนใหญ่" ประชาชนรายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ภายในรัศมีการเดิน 10 นาทีจากจุดเกิดระเบิดระบุ โดยพื้นที่ดังกล่าวมีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่กว่า 40 ราย

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เรือลำหนึ่งที่ดูแลเชื้อเพลิงของกองทัพเมียนมาถูกระเบิดบริเวณแม่น้ำใกล้กับพื้นที่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง โดยรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาที่จัดตั้งขึ้นโดยเหล่าสมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแต่ถูกกองทัพเมียนมาโค่นล้มในปี 2564 ระบุว่า กองกำลังต่อต้านภายใต้การควบคุมของ NUG เป็นผู้จุดชนวนระเบิดดังก่าว ส่วนกองทัพเมียนมาระบุว่า เชื้อเพลิงในเรือเป็นน้ำมันดีเซลและไม่ได้ถูกใช้ในการสู้รบ

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ถูกเล็งเป้าโจมตีเช่นเดียวกัน โดยเกิดเหตุระเบิดหน้าสำนักงานใหญ่บริษัทมายเทล (Mytel) ซึ่งเป็นกิจการของกองทัพเมียนมา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. และกลุ่มต่อต้านท้องถิ่นออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดดังกล่าว

รายงานระบุว่า มายเทลเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง MEC และเวียตเทล (Viettel) ของกองทัพเวียดนาม โดยกองทัพเมียนมาได้ปราบปรามกองกำลังฝ่ายต่อต้านด้วยการจำกัดการเชื่อมโยงโทรศัพท์เคลื่อนที่และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน