สหรัฐจ่อแก้กม. เปิดช่องเยาวชนวัยเรียน เพิ่มชั่วโมงทำงานหาเงิน

12 มิ.ย. 2566 | 16:13 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มิ.ย. 2566 | 16:37 น.

สหรัฐหันพึ่งแรงงานเยาวชน แก้ปัญหาขาดแคลนคนทำงาน จ่อเสนอร่างกฎหมายแรงงานเด็กที่ผ่อนปรนให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถเพิ่มชั่วโมงการทำงานในช่วงวันเรียน และทำงานได้หลากหลายประเภทยิ่งขึ้น

 

หลายรัฐใน สหรัฐอเมริกา กำลังจ่อเปิดโอกาสให้ เยาวชนวัยเรียน สามารถทำงานหาเงินได้สะดวกขึ้น เช่นเพิ่มชั่วโมงทำงานในวันมีเรียน และเพิ่มประเภทของงานที่สามารถทำได้ รวมทั้งการทำงานโดยไม่ต้องมีใบอนุญาต

ข้อมูลจากรายงานของสถาบันนโยบายเศรษฐกิจในวอชิงตันที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ระบุว่า ร่างกฎหมายบางฉบับในสหรัฐเสนออนุญาตให้ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในสถานที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ธุรกิจก่อสร้างได้ด้วย

สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐ รายงานว่า ฝ่ายนิติบัญญัติในอย่างน้อย 10 รัฐของสหรัฐอเมริกา ได้เสนอกฎหมายแรงงานเด็กที่มีการผ่อนปรนมากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยร่างกฎหมายนี้จะช่วยให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถทำงานเป็นเวลาหลายชั่วโมงในช่วงวันเรียนได้ง่ายขึ้น และทำงานได้หลากหลายประเภทมากขึ้น

ทั้งนี้ ฝ่ายนิติบัญญัติที่สนับสนุนร่างกฎหมายใหม่กล่าวว่า เด็ก ๆ อาจช่วยเติมเต็มปัญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเกิดโรคระบาดใหญ่โควิด-19 นอกจากนี้ การทำงานยังให้ประสบการณ์ที่มีค่าแก่วัยรุ่นอีกด้วย ในขณะที่บางคนบอกว่า รัฐบาลไม่ควรห้ามเด็กทำงานหากได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองแล้ว

ร่างกฎหมายบางฉบับเสนออนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในสถานที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้

ในปีนี้ (2566) สภานิติบัญญัติของรัฐอาร์คันซอผ่านร่างกฎหมายที่ยกเลิกข้อกำหนดให้เด็กอายุ 14 และ 15 ปีต้องมีใบอนุญาตทำงาน โดยใบอนุญาตดังกล่าวกำหนดให้เด็กต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง มีหลักฐานยืนยันอายุ และมีลายเซ็นของนายจ้าง

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็คือหากไม่มีใบอนุญาตทำงาน ก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบริษัทต่าง ๆ ที่จะตัดสินใจว่า จะจ้างเด็กดีหรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐอาร์คันซอก็ได้ผ่านร่างกฎหมายที่เพิ่มค่าปรับสำหรับการละเมิดกฎหมายแรงงานเด็กแยกต่างหากไว้ด้วย

ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง ชั่วโมงการทำงานของเด็กนั้นมีจำกัด และไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในสภาวะที่เป็นอันตราย

ร่างกฎหมายฉบับหนึ่งในรัฐมินเนโซตาอนุญาตให้เด็กอายุ 16 และ 17 ปีทำงานได้ทั้งในและรอบ ๆ สถานก่อสร้าง ส่วนร่างกฎหมายในรัฐโอไฮโอที่ผ่านมติวุฒิสภาของรัฐแล้ว อนุญาตให้เด็กทำงานในวันที่เรียนได้จนถึง 21.00 น. ขณะที่ภายใต้กฎหมายฉบับปัจจุบัน เด็กนักเรียนสามารถทำงานได้จนถึงหนึ่งทุ่ม (19.00 น.)เท่านั้นในวันที่ไปโรงเรียน

ภายใต้กฎหมายฉบับปัจจุบัน เด็กนักเรียนสามารถทำงานได้จนถึงหนึ่งทุ่ม (19.00 น.)เท่านั้นในวันที่ไปโรงเรียน

แอลลิสัน แพกซ์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเด็กและการศึกษาของ Children’s Defense Fund Ohio ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ โดยสนับสนุนการศึกษาและต่อสู้กับการถูกทารุณกรรมและความยากจน เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายในรัฐโอไฮโอและรัฐอื่น ๆ เป็นแนวทางสำหรับบรรดาธุรกิจต่าง ๆ ในการรับมือกับสิ่งที่เธอเรียกว่า “ช่องว่างด้านแรงงาน” โดยการจ้างเด็กด้วยค่าแรงที่ต่ำกว่า และว่า เด็ก ๆ ในสหรัฐอาจทำงานโดยได้รับค่าแรงน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำสำหรับผู้ใหญ่ของรัฐบาลกลาง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายทิม แชฟเฟอร์ วุฒิสมาชิกรัฐโอไฮโอ กล่าวภายหลังการผ่านร่างกฎหมายในวุฒิสภารัฐโอไฮโอว่า ปัจจุบันมี 13 รัฐที่อนุญาตให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีทำงานจนถึงสามทุ่ม (21.00 น.) ได้ตลอดทั้งปี โดยได้รับค่าจ้างที่ดีและได้เรียนรู้ทักษะการจ้างงานที่มีคุณค่าอีกด้วย

แต่แพกซ์สันแย้งว่า การทำงานมากขึ้นจะทำให้เวลาเรียนลดลง คุณประโยชน์ที่เยาวชนจะได้รับจากประสบการณ์ในที่ทำงานนั้นไม่ควรมาจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งที่ปกป้องเด็กในสถานที่ทำงาน เพราะสิ่งนี้จะกลับมาในรูปของค่าใช้จ่ายในการศึกษาและยังเป็นอนาคตของพวกเขาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอีกด้วย

เหรียญมีสองด้าน ลองมาดูข้อเสียกันบ้าง

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research on Adolescence พบว่า วัยรุ่นที่ทำงานชั่วโมงยาวนานหลังเลิกเรียนมีความเสี่ยงที่จะต้องหยุดเรียนมัธยมกลางคัน เพราะการทำงานที่มากเกินไปอาจทำให้ความสนใจในการโรงเรียนลดลง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐจะมีกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองเด็ก ตัวอย่างเช่น กฎหมายของรัฐบาลกลางระบุว่าเด็กอายุ 14 และ 15 ปีไม่สามารถทำงานหลังเลิกเรียนเกินวันละสามชั่วโมง แต่ในหลาย ๆ ส่วนของโลก การใช้แรงงานเด็กยังคงพบเห็นได้ทั่วไป โดยการศึกษาขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในปี 2562 ระบุว่า มีเด็ก 152 ล้านคนตกเป็น “แรงงานเด็ก” เนื่องจากในหลาย ๆ ประเทศ แรงงานเด็กมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ แต่พวกเขาต้องทำงานภายใต้สภาวะที่ไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง และบ่อยครั้งต้องทำงานภายใต้สิ่งแวดล้อมที่อันตราย ทั้งยังไม่ได้รับค่าแรงอย่างเป็นธรรม