บิตคอยน์ดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบกว่า 5 เดือน หลุด 40,000 ดอลลาร์

11 ม.ค. 2565 | 07:28 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2565 | 14:37 น.
987

บิตคอยน์ดิ่งลงต่อเนื่องหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์วานนี้ (10 ม.ค.) ก่อนปรับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 41,733.2 ดอลลาร์ เช้าวันนี้ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐจะทำให้ธนาคารกลาง (เฟด) เร่งการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะกดดันสภาพคล่องในตลาด

บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.18 น. ของวันนี้ (11ม.ค.) ปรับตัวลง 1.10% เคลื่อนไหวที่ 41,733.2 ดอลลาร์ เป็นการเคลื่อนไหวในแดนลบหลัง ดัชนีดาวโจนส์ ร่วง 162 จุดเหตุถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในสหรัฐ ทั้งนี้ บิตคอยน์ร่วงลงมากกว่า 5% เมื่อวันจันทร์ (10 ม.ค.) สู่ระดับ 39,558 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.2564 เป็นต้นมา

 

นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังทรุดตัวลงมากกว่า 40% นับตั้งแต่ที่พุ่งทำสถิติสูงสุดเหนือระดับ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย.2564 อย่างไรก็ตาม เช้าตรู่วันนี้ (11 ม.ค.) บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.18 น. เคลื่อนไหวที่ 41,733.2 ดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลง 1.10%

 

ความปั่นป่วนในตลาดวอลล์สตรีทนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่ว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐจะกดดันให้ ธนาคารกลาง หรือ เฟด เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค.ที่จะถึงนี้

 

สิ่งที่นักลงทุนกำลังเฝ้าจับตา คือตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะเปิดเผยในวันพุธนี้ (12 ม.ค.) ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.1% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 6.8% ในเดือนพ.ย.

 

นอกจากนี้ คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 4.9% ในเดือนพ.ย.

 

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจใหญ่ของสหรัฐ คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่มีการคาดหมายกันไว้เดิมว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง  นอกจากนี้ ยังคาดว่าสหรัฐจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในเดือนก.ค.หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่พุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์