ซิดนีย์ล็อกดาวน์เข้มสกัดโควิดเดลต้า วอนประชาชนอยู่แต่ในบ้าน

18 ส.ค. 2564 | 16:24 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ส.ค. 2564 | 23:37 น.

“ซิดนีย์” วอนประชาชนอยู่แต่ในบ้านเนื่องจากเชื่อว่า การแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์เดลต้ายังไม่ถึงจุดเลวร้ายที่สุด คาดว่าระยะนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง

กลาดิส เบเรจิคเลียน มุขมนตรี รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ นครซิดนีย์ เตือนในวันนี้ (18 ส.ค.) ว่า การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ในซิดนีย์ยังไม่ถึงจุดสูงสุดและยังแพร่ระบาดได้อีก โดยคาดว่าจะมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้อยู่แต่ในบ้านเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว

 

"เรายังไม่เห็นจุดที่สาหัสที่สุด และเราจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อทุกคนอยู่แต่ในบ้าน" มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์กล่าว  ทั้งนี้ ซิดนีย์เป็นเมืองหลวงของรัฐ และเป็นเมืองใหญ่ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศออสเตรเลีย

ซิดนีย์ล็อกดาวน์เข้มสกัดโควิดเดลต้า วอนประชาชนอยู่แต่ในบ้าน

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 633 ราย ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในจำนวนนี้มาจากนครซิดนีย์ 545 ราย ทุบสถิติเดิมเมื่อวันจันทร์ (16 ส.ค.) ซึ่งพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 478 ราย

 

นับตั้งแต่ซิดนีย์พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้ารายแรกเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2564 จนถึงขณะนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 60 ราย โดยเป็นยอดเสียชีวิตในวันนี้ 3 ราย

ซิดนีย์ล็อกดาวน์เข้มสกัดโควิดเดลต้า วอนประชาชนอยู่แต่ในบ้าน

ข้อมูลทางการของรัฐนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในซิดนีย์มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีการล็อกดาวน์ที่ยาวนานก็ตาม พร้อมเตือนว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระงานหนักมาก

 

กระนั้นก็ตาม ยังคงมีรายงานว่า ประชาชนบางส่วนได้ฝ่าฝืนคำสั่งให้อยู่ที่บ้าน เนื่องจากนครซิดนีย์อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมาเป็นเวลานาน แม้จะมีการปิดถนนบางส่วนในเมืองและเพิ่มค่าปรับ ก็ยังไม่อาจต้านทานผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง

 

ทั้งนี้ ออสเตรเลียซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศที่ควบคุมโควิด-19 ได้ดีที่สุด กำลังเผชิญปัญหาในการควบคุมการติดเชื้อโควิด-19 ระลอก 3 ที่เกิดจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดได้ง่าย แม้ว่าจะมีการใช้คำสั่งล็อกดาวน์กับประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศแล้วก็ตาม ขณะที่มีประชาชนวัยผู้ใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น