สกัดนองเลือด "อดุลย์"ชง"บิ๊กป้อม"นายกฯ ทางออกความขัดแย้ง

16 ก.ค. 2566 | 17:59 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2566 | 18:06 น.

สกัดนองเลือด "อดุลย์ เขียวบริบูรณ์" ชงรัฐบาลช่วยชาติ ดัน"บิ๊กป้อม"เป็นนายกฯ ออกกฎหมายเพื่อความสมานฉันท์ นิรโทษกรรมคดีการเมือง ปฏิรูปประเทศทุกด้าน 2 ปี ยุบสภา ชี้เป็นทางออกลดขัดแย้ง

นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 อดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวถึงผลการโหวตเลือกนายกฯ  และการจัดตั้งรัฐบาลว่า ผลการลงมติโหวตเลือกนายกฯ ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่า สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) จะไม่โหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ทำให้การจัดตั้งรัฐบาล ครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความแตกแยกทางการเมือง

เนื่องจากพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เมื่อมีการสลับขั้วก็จะเกิดการชุมนุมต่อต้านจากอีกฝ่าย หากปล่อยให้ดำเนินการไปเช่นนี้ สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้น “นองเลือด” อีก จึงถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องรอมชอมสามัคคีกัน เพื่อทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริงและยั่งยืน

“ทุกพรรคการเมืองมีทั้งจุดแข็งจุดอ่อน ขั้วรัฐบาลเดิมก็ล้าหลังประชาชนไม่ยอมรับ ขั้วรัฐบาลใหม่ก็สุดโต่งและสุ่มเสี่ยงนำไปสู่ขัดแย้ง จึงควรเอานโยบายที่เหมาะสมจากทุกพรรคการเมืองมาใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง และเชิญบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถจากทุกพรรคมาร่วมกันเป็นรัฐบาลช่วยชาติ โดยไม่ยึดติดโควตา”

นายอดุลย์ กล่าวว่า การมองสถานการณ์การเมืองไทยต้องอยู่บนโลกความเป็นจริง อย่าโลกสวย เพ้อฝันเกินความเป็นจริง เมื่อพรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ จะโหวตอีกรอบก็ไม่ได้อยู่ดี 

 

พรรคอันดับสองคือ “เพื่อไทย” ก็มีความชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่หากคนของเพื่อไทยจะเป็นนายกฯ เอง ส.ว.ก็คงไม่โหวตให้อีก จึงเหลือทางเลือกสุดท้ายคือ สลับขั้วมาจับมือกับ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) และ พรรคภูมิใจไทย ร่วมเป็นแกนนำ โดยให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าจะได้รับเสียงโหวตจาก ส.ว.จนครบ และเพื่อให้สามารถเริ่มกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ในสังคมได้ทันที ตามแนวทาง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”

หลังจากนั้นออกกฎหมายเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ นิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ส่วนคดีที่เกี่ยวกับ ม.112 เป็นพระราชอำนาจ ที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าอยู่แล้ว จากนั้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตย ปฏิรูปประเทศทุกด้าน 

“เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์สงบเรียบร้อยภายใน 2 ปี ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่หากไม่มีการปฏิรูปประเทศ ความขัดแย้งก็จะขยายตัวอีก มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะนำพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งและสร้างความสมานฉันท์ได้” นายอดุลย์ กล่าว

นอกจากนี้ นายอดุลย์ ยังได้เตือนพรรคก้าวไกลให้ระมัดระวังในเรื่องการปลุกกระแสความเกลียดชัง แบ่งฝ่าย เลือกข้าง สร้างความแตกแยก จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองและส่วนรวม 

“ยิ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังเคารพศรัทธา และขอฝากฝ่ายอนุรักษนิยมต้องปรับตัว อย่าฝืนกระแสการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว

อย่าลืมว่ากาลเวลาเป็นผู้ชนะเสมอ แต่การเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องคำนึงถึงประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย จะเดินตามชาติตะวันตกที่ไม่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ไม่ได้ อย่าหักโหม หักด้ามพร้าด้วยเข่า จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาอีก

เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องใช้เวลา ไม่ใช่แค่ยุคนี้ คนไทยอย่าคิดแบบโลกสวย ต้องมองความจริงที่ปฏิบัติได้ด้วย ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผล มีความสามัคคีสมานฉันท์ ”นายอดุลย์ กล่าว