“Trumpism”เขย่าโลก! ดึงลงทุนต่างชาติ ทางรอดวิจัยและนวัตกรรมไทย

27 ก.พ. 2568 | 07:12 น.

เมื่อ “ทรัมป์ 2.0” กลับมาสู่เวทีโลกอีกครั้ง นโยบาย “America First” ที่มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศและลดความร่วมมือระหว่างประเทศได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การค้า และภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก

ยุคที่การแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีนทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับกับความท้าทายใหม่ ๆ สำหรับไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่าย ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย

“Trumpism”เขย่าโลก! ดึงลงทุนต่างชาติ ทางรอดวิจัยและนวัตกรรมไทย

โดยภายใต้นโยบาย ทรัมป์ 2.0 นั้นสหรัฐฯ พยายามเน้นการผลิตภายในประเทศและลดการเข้าร่วมกับความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น การถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ นับเป็นสัญญาณให้เห็นว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคของการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานต้องปรับโครงสร้างใหม่ ซึ่งเปิดช่องให้ไทยสามารถใช้จุดแข็งด้านภูมิศาสตร์และฐานการผลิตที่มีอยู่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

ในเวทีเสวนา “Trump 2.0 วิกฤตหรือโอกาสของระบบ ววน. ไทย” ที่จัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเข้มข้น

“Trumpism”เขย่าโลก! ดึงลงทุนต่างชาติ ทางรอดวิจัยและนวัตกรรมไทย

ผศ. ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยว่า นโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ทำให้ภาพลักษณ์ของความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยการประกาศใช้ “นโยบายการค้าอเมริกามาก่อน” (America First Trade Policy) ที่เน้นส่งเสริมการลงทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า และเพิ่มความได้เปรียบด้านอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ทรัมป์ตัดสินใจออกจากความร่วมมือระหว่างประเทศในหลายๆ ด้าน เช่น การออกจาก Paris Agreement และการลดบทบาทของสหรัฐฯ ในองค์กรระหว่างประเทศอย่าง UN และ UNESCO ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่ากังวล เนื่องจากองค์กรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาในระดับโลก การเตรียมความพร้อมของไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นเชิงรุก โดยการปรับปรุงนโยบาย สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างตลาดใหม่ การเข้าร่วมกลุ่มความร่วมมือใหม่ ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

โดยไทยต้องเปลี่ยนจากวิกฤติเป็นโอกาส ผ่านการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อพัฒนาตลาดและเทคโนโลยี ต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้แข็งแกร่งขึ้น กสว. จึงได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการให้ทุนเป็นการสนับสนุนแบบมุ่งเป้า (Target Base) ภายใต้นโยบาย “Thailand First Development Agenda” เพื่อผลักดันการพัฒนาตลาดด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เสริมสร้างภาคอุตสาหกรรม และการมุ่งเป้าพัฒนาตลาดด้วย นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (New Tech & Growth Engine)

ทั้งด้านของ Geopolitics และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ จากการกลับมาของ ทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ Geopolitics หรือภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน (decoupling) สถานการณ์นี้จะส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ปรับตัวครั้งใหญ่ โดยมีการย้ายฐานการผลิตหรือจัดตั้งฐานการผลิตใหม่ในภูมิภาคต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งสองขั้วมหาอำนาจ

ประเทศไทยซึ่งมีจุดแข็งด้านความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองขั้ว จึงมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า (non-conflict region)

อย่างไรก็ตาม ไทยจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ สกสว. ยังให้ความสำคัญกับการใช้ “Science Diplomacy” เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยใช้ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ด้านโอกาสและความท้าทายต่อระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม นั้นไทยจะคว้าโอกาสและรับมือความท้าทายได้ แม้ว่านโยบายของ ทรัมป์ 2.0 ที่เน้นการลดการลงทุนหรือการช่วยเหลือประเทศอื่น อาจส่งผลกระทบต่อโครงการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศ แต่ สกสว. มองว่านี่คือโอกาสที่ไทยจะหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ ทั่วโลก โดยย้ำว่า การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกคือโอกาสทองของไทยในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลกได้
 ด้านโอกาสในการดึงดูดการลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรม จากการเปลี่ยนแปลงของ Geopolitics โลกจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุนครั้งใหญ่ โดยบริษัทต่างๆ จะมองหาแหล่งลงทุนใหม่ที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการเติบโต

ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้จุดแข็งด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และแรงงานที่มีทักษะ เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมจากต่างประเทศได้

ด้านความสามารถในการเป็นผู้นำในการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้นั้น ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอาเซียน” โดยการดำเนินนโยบายที่เป็นกลางและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากมาเลเซียและอินโดนีเซียในด้านเทคโนโลยีและการค้าระหว่างประเทศ


วิเคราะห์ หน้า 8 ฉบับที่ ฉบับที่ 4,074 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ. 2568