“ความไม่แน่นอน” แรงจูงใจองค์กรธุรกิจเพิ่มการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

04 ต.ค. 2565 | 14:27 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ต.ค. 2565 | 21:37 น.

รายงาน Future of Time ของอะโดบีชี้ “ความไม่แน่นอน” คือแรงจูงใจที่ทำให้องค์กรธุรกิจเพิ่มการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการทำงานร่วมกัน โดยความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาวะโลกร้อน และการกลายพันธุ์ของโควิด-19 เป็นปัญหาที่พนักงานกังวลมากที่สุด

กลุ่มธุรกิจ Document Cloud ของอะโดบี (Nasdaq:ADBE) เผยแพร่ผลการศึกษาประจำปีฉบับที่สอง “Future of Time” ซึ่งมุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของรูปแบบการทำงานจากทั่วโลก โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า กว่า 70% ของผู้จัดการและพนักงานเห็นพ้องต้องกันว่า “ความไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลง” ได้กลายเป็นเรื่องปกติในสถานที่ทำงาน และทุกวันนี้พนักงานต้องพึ่งพาเครื่องมือดิจิทัล เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และความสบายใจท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

“ความไม่แน่นอน” แรงจูงใจองค์กรธุรกิจเพิ่มการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ทอดด์ เกอร์เบอร์ รองประธานฝ่าย Document Cloud ของอะโดบี กล่าวว่า “ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจทุกขนาดต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงาน และประสิทธิภาพการทำงาน ขณะที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมหภาค องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงเครื่องมือที่ทันสมัยในการเพิ่มประสิทธิภาพงาน เช่น Document Cloud ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของพนักงาน รวมถึงยกระดับการทำงานร่วมกัน และการสร้างสรรค์นวัตกรรม”

รายงานของอะโดบีที่มีชื่อว่า “The Future of Time: การกำหนดนิยามใหม่ของประสิทธิภาพการทำงานท่ามกลางความไม่แน่นอน” (“The Future of Time: Redefining Productivity During Uncertainty”) อ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน ผู้จัดการในองค์กรขนาดใหญ่ (ENT) และผู้บริหารธุรกิจขนาดเล็ก (SMB) กว่า 9,700 คนใน 8 ประเทศทั่วโลก โดยนำเสนอข้อมูลภาพรวมของผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร รวมถึงการทำงานร่วมกัน และการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยพบว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาวะโลกร้อน และการกลายพันธุ์ของโควิด-19 นับเป็นปัญหาระดับโลกที่สร้างความกังวลใจมากที่สุด นอกเหนือไปจากปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นระดับภูมิภาค

 

เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้จัดการและพนักงาน 70% ระบุว่าตนเองใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการรับรู้และพูดคุยเกี่ยวกับข่าวสารต่างๆ ในที่ทำงานเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และพนักงาน 76% ระบุว่ารายการข่าวด่วน (Breaking News) ส่งผลกระทบเป็นเวลานานถึงสองสามชั่วโมงในการทำงานวันนั้นๆ  สถานการณ์ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลให้พนักงานทุกคนมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง โดยคนรุ่น Gen Z (93%) และคนรุ่น Millennials (87%) รู้สึกถึงผลกระทบมากกว่า เมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อน เช่น Gen X (79%) และ Baby Boomer (71%)

อย่างไรก็ตาม พนักงานส่วนใหญ่ (58%) มองว่าการทำงานเป็นกิจกรรมที่ช่วยไม่ให้รู้สึกฟุ้งซ่านในช่วงที่เกิดสถานการณ์ไม่แน่นอน บริษัททุกขนาดพยายามกระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วมและให้การสนับสนุน โดยใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทัลในรูปแบบใหม่ และสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งพบว่าพนักงานมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมกันกำหนดอนาคตของการทำงาน และดำเนินโครงการเพื่อเปลี่ยนแปลงองค์กร พนักงานส่วนใหญ่ระบุว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทำให้พวกเขาจำเป็นต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เช่น ใช้กระบวนการใหม่ๆ และแนวทางการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์ ขณะที่พนักงาน 1 ใน 4 คาดหวังว่านายจ้างจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในปีหน้า โดยเปิดโอกาสให้พนักงานได้ทดลองกระบวนการใหม่ๆ ในการทำงาน

 

เทคโนโลยีช่วยสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกัน และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดีขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอน


ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในที่ทำงานเป็นแรงขับเคลื่อนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขณะที่บริษัทต่างๆ ยกเลิกกระบวนการทำงานแบบเก่า เพื่อปรับปรุงขีดความสามารถด้านการแข่งขันและความยืดหยุ่นในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

•             กว่า 1 ใน 3 ของผู้จัดการในองค์กรขนาดใหญ่ได้ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในหนึ่งปีที่ผ่านมา

•             ผู้จัดการส่วนใหญ่ (84%) พบคุณประโยชน์อย่างน้อยหนึ่งข้อจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมมากขึ้นในที่ทำงาน รวมถึงผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน (62% ของ SMB, 66% ของผู้จัดการองค์กร) และวัฒนธรรมการทำงาน (58% ของ SMB, 63% ของผู้จัดการองค์กร) โดยหลายคนระบุถึงสมดุลระหว่างการทำงานที่ดีขึ้น (31% ของ SMB, 34% ของผู้จัดการองค์กร)

 

พนักงานต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสวัสดิภาพที่ดีในที่ทำงาน

 

เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พนักงานจึงมองหางานที่มั่นคงในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการดูแลสวัสดิภาพของพนักงาน

•             ผู้บริหารและพนักงานส่วนใหญ่ – 56% ของพนักงาน, 63% ของผู้บริหาร SMB และ 71% ของผู้จัดการองค์กร – ระบุว่า ทุกวันนี้ตนเองมีความคาดหวังที่สูงขึ้นกับวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนโดย “เป้าหมาย” เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อน และบุคลากรที่มีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการกำหนดรูปแบบการทำงานก็มีแนวโน้มว่าจะมีความพึงพอใจเพิ่มมากขึ้น

•             ผู้จัดการกว่า 2 ใน 3 กล่าวว่า ในปีหน้า วัฒนธรรมในองค์กรของตนจะส่งเสริมการทำงานร่วมกันมากขึ้น (69% ของ SMB, 76% ของผู้จัดการองค์กร) และมีการปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิทัล (71% ของ SMB, 81% ของผู้จัดการองค์กร) เพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรธุรกิจสามารถฟันฝ่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนในอนาคต

•             ผู้จัดการและพนักงานเกือบ 7 ใน 10 พึ่งพาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อให้เกิดความสบายใจในที่ทำงาน รักษาประสิทธิภาพการทำงานในช่วงเวลาที่รู้สึกฟุ้งซ่าน และลดความตึงเครียดในการทำงานเมื่อเพื่อนร่วมงานลาหยุดโดยไม่คาดคิด  อย่างไรก็ตาม 68% ของผู้จัดการองค์กร และ 59% ของผู้บริหาร SMB กล่าวว่าตนเองต้องการเครื่องมือและทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยให้พนักงานฟันฝ่าช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน

•             พนักงานและผู้จัดการกว่า 70% ระบุว่า โซลูชั่นดิจิทัลช่วยเพิ่มความสะดวกและปรับปรุงสัมพันธภาพในการทำงาน รวมถึงช่วยให้ผู้จัดการสามารถตรวจสอบสวัสดิภาพของพนักงานได้ง่ายขึ้น ช่วยให้พนักงานและผู้บริหารแสดงความคิดเห็นและให้คำติชมได้สะดวกมากขึ้น และส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงาน

 

ไจ กูลาติ หัวหน้าฝ่ายบริการแอปพลิเคชันระดับโลกและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะที่ Regeneron บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ประดิษฐ์ คิดค้น พัฒนา และจัดจำหน่ายยาที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ป่วย กล่าวว่า “การสร้างกระบวนการที่ดีที่สุด และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมควรมีจุดประสงค์เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกคน ตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ไปจนถึงผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ของการทำงานและการใช้ชีวิตแบบไฮบริด ตัวอย่างเช่น เราใช้โซลูชั่นดิจิทัลต่างๆ รวมถึง Adobe Acrobat Sign เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์สำหรับผู้เซ็นเอกสาร โดยเครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้สามารถจัดการบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว โดยปราศจากการสัมผัส”

 

Adobe Document Cloud ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จะช่วยปรับเปลี่ยนจากกระบวนการที่ล้าสมัยไปสู่ประสบการณ์ดิจิทัลที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ Document Cloud ประกอบด้วย Adobe Acrobat, Adobe Acrobat Sign และโมบายล์แอปที่ทรงพลังอย่างเช่น Acrobat Reader และ Adobe Scan  ทั้งนี้ Adobe Acrobat เป็นโซลูชั่น PDF ที่ดีที่สุดและได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในโลก โดยช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่างๆ ให้เสร็จสมบูรณ์ ทั้งบนแพลตฟอร์มเดสก์ท็อป โมบายล์ และออนไลน์ รวมถึงภายในแอปยอดนิยมของ Microsoft และ G-Suite  ส่วน Adobe Acrobat Sign เป็นโซลูชั่นลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับการเซ็นชื่อและส่งเอกสารได้จากทุกอุปกรณ์