“ดร.ณัฏฐ์”ถามพีระพันธุ์ ยุ่งเกี่ยวบริษัทกู้เงิน 14 ล้านหรือไม่

29 เม.ย. 2568 | 18:18 น.
อัปเดตล่าสุด :29 เม.ย. 2568 | 18:39 น.

“ดร.ณัฏฐ์”มือกฎหมายมหาชน เผยงบดุล บริษัท รพีโสภาค ของ “พีระพันธุ์” กู้ยืมเงิน 14 ล้านบาท ระหว่างเป็นรัฐมนตรี ถามว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัทหรือไม่ แจ้ง ป.ป.ช.หรือไม่

วันนี้(30 เม.ย.68)  จากกรณีมีกระแสลุกลามในเรื่องของการเป็นกรรมการบริษัท และยังไม่ได้โอนหุ้นของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน แม้นายสุชาติ ชมกลิ่น จะออกมระบุว่า นายพีระพันธุ์ เป็นนักกฎหมายที่เก่ง ไม่น่ากังวลใจในเรื่องการเป็นกรรมการบริษัท และผู้ถือหุ้นที่กำลังเป็นข่าวขุดคุ้ย 

ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมาย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อห้ามของรัฐมนตรีและให้ความรู้ด้านกฎหมายมหาชน อันเป็นประโยชน์สาธารณะ ว่า ตนไม่รู้จักกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคและ นายสนธิญา สวัสดี ผู้เปิดประเด็น แต่จะให้ความรู้กฎหมายเพื่อให้ประชาชนที่มีใจรักความเป็นธรรม กองเชียร์กับกองแช่งทั้งสองฝ่ายได้พิจารณา 

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามไว้ตามรัฐธรรมนูญ หากเป็นจริง นายพีระพันธุ์ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 187 สถานะความเป็นรัฐมนตรีของ นายพีระพันธุ์ ย่อมสิ้นสุดลง และจะต้องเจอ ป.ป.ช.ดำเนินคดีอาญา ฐานยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ รวมถึงการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง 

“ให้เป็นนักกฎหมายที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น อวย ก็ไม่รอด เพราะข้อเท็จจริงในการเป็นกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด วัดกันพิสูจน์กันพยานเอกสาร ที่อยู่ในความครอบครองของนายทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ไม่ใช่วัดกันที่พยานบุคคล เพราะสามารถบิดเบือนกันได้” 

ดร.ณัฏฐ์ กล่าวว่า เท่าที่ตนได้ตรวจสอบจากนายทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์  ในระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในปัจจุบัน นายพีระพันธุ์ ยังคงมีสถานะเป็นเจ้าของ หรือเป็นกรรมการของ บริษัท รพีโสภาค จำกัด ที่จดทะเบียนในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และยังดำเนินกิจการอยู่ถึงปัจจุบัน ถามว่า นายพีระพันธุ์จะชี้แจงสังคมอย่างไร  

นายพีระพันธุ์ มีสถานะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ นับตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี และก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2556 จนถึงปัจจุบัน โดย นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค และนางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเป็นมารดาของ นายพีระพันธุ์  โดยนางโสภาพรรณ ได้เสียชีวิต ไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม2558 อันเป็นระยะเวลาก่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ 

แต่นายพีระพันธุ์ เป็นเจ้าของ หาได้ไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสถานะกรรมการบริษัทฯ ไม่แน่ใจว่า นักกฎหมายที่เก่งเขาผิดพลาดหรือไม่ ฝากถามนายสุชาติ ไปสอบถามนายพีระพันธุ์ ว่าเหตุใดไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีชื่อผู้ตายเป็นกรรมการบริษัท 

“เท่าที่ตรวจสอบพบว่า บริษัท รพีโสภาค จำกัด ในการดำเนินกิจการบริษัท จะต้องดำเนินการผ่านกรรมการผู้จัดการบริษัท ตามที่จดทะเบียนในอำนาจกรรมการไว้ ใช่หรือไม่ และในการดำเนินกิจการ จะต้องรับรองงบดุลรายจ่ายรายปีทุกปี เท่าที่ตรวจสอบงบการเงินในปี 2567 พบว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2566 บริษัทได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 14 ล้านบาท ภายหลัง นางโสภาพรรณ เสียชีวิต ย่อมลงนามโดยใครเอ่ย หากมิใช่กรรมการที่เหลือ คือ นายพีระพันธุ์ กรรมการที่มีอำนาจ   

แสดงให้เห็นว่า ในขณะนายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ ยังคงใช้สถานะเป็นกรรมการ บริษัท รพีโสภาค จำกัด ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไปยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการบริษัทฯ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคสาม ถามว่า กระทำต่อเนื่องถึงปัจจุบันในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือไม่ 

แถมยังไปแจ้ง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่เคยเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นฯ ถามว่า เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลเอง หรือกรอกตามข้อมูลที่นายพีระพันธุ์ กรอกไว้ แล้ว 14 ล้าน ที่งอกตัวเลขเงินกู้ระยะสั้นออกมา ถามว่า ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินหรือหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ ประชาชนทางบ้านสงสัยจึงฝากถามมา 

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้รัฐมนตรี เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญว่าด้วยผลประโยชน์ขัดกัน การกระทำห้ามบุคคลที่เป็นรัฐมนตรี เว้นจะต้องแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.และทำการโอนหุ้นทั้งหมดให้แก่นิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียน บริหารผลประโยชน์เพื่อบุคคลอื่น

แม้ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบพบว่า นายพีระพันธุ์ ได้ทำนิติกรรมสัญญาให้นิติบุคคลบริษัทบุคคลภายนอกจัดการ แต่ยังคงสถานะเป็นกรรมการของ บริษัท รพีโสภาค จำกัด ที่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการบริหารจัดการบริษัท ซึ่งต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย 

ประกอบกับจากการตรวจสอบการถือครองหุ้นทั้งสี่บริษัทข้างต้น ยังพบว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรี ยังคงสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ยังมิได้โอนให้แก่นิติบุคคลเพราะถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 แต่ละบริษัทฯ 

หากพิจารณาเจตนารมณ์ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 เป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ห้ามรัฐมนตรีเด็ดขาด เป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วนหรือกรรมการบริษัท และผู้ถือหุ้น อันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  

สถานะความเป็นเจ้าของ หรือกรรมการบริษัท มีสถานะไม่แตกต่างจากห้างหุ้นส่วนผู้จัดการ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากเอกสารว่า นายพีระพันธุ์ ยังเป็นสถานะเป็นกรรมการบริษัท รพีโสภาค จำกัด ยังคงมีอำนาจหลักแต่เพียงผู้เดียว เพราะมารดาได้เสียชีวิตไปแล้ว ในการบริหารจัดการภายในกิจการของบริษัท เช่น การบริหารจัดการ การรับรองงบการเงินประจำปี ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท ได้บัญญัติในอำนาจหน้าที่กรรมการบริษัทไว้ ถือว่าเป็นพฤติกรรมเป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 5 วรรคหนึ่ง อันเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 หรือไม่