นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกร้องเรียนว่าถือครองหุ้นในบริษัทเอกชนจำนวน 4 แห่ง ซึ่งอาจขัดต่อคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการ และติดตามรายละเอียดจากสื่อมวลชนเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป แต่เชื่อมั่นว่านายพีระพันธุ์ ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นอย่างดี จะสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเอง
“ผมไม่ได้ทราบรายละเอียดลึก เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว และเป็นเรื่องที่ทางเลขาธิการพรรคหรือเจ้าตัวต้องเป็นผู้ชี้แจง แต่โดยพื้นฐานแล้วผมเชื่อว่าท่านมีความรู้ทางกฎหมายมากพอที่จะอธิบายข้อสงสัยทั้งหมดได้” นายสุชาติ กล่าว
เมื่อถูกถามว่ากรณีดังกล่าวอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของพรรคหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่กังวล เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่มีคนเก่งจำนวนมาก มีศักยภาพพร้อมเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชน และไม่ยึดติดกับตัวบุคคล
“ถ้าสมมุติว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ใช่ ก็มั่นใจว่าพรรคเรามีบุคลากรที่มีคุณภาพพร้อมรับหน้าที่ต่อได้ เราไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคล เราเป็นพรรคที่ทำงานเป็นทีมเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง” นายสุชาติ กล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในขณะนี้ นายสุชาติ ย้ำว่า เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการพิจารณาและตัดสินใจ พร้อมระบุว่า ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ออกมา และยังไม่ได้มีการพูดคุยกันภายในพรรคในระดับแกนนำเกี่ยวกับเรื่องนี้
“การปรับ ครม. เป็นอำนาจของท่านนายกฯ ท่านจะเป็นผู้พิจารณาว่าใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะทุกตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้เกิดจากการแต่งตั้งโดยนายกฯ ทั้งสิ้น ไม่ใช่การตัดสินใจของตัวบุคคลเอง”
เมื่อถามว่ามีการพูดคุยในกลุ่มรัฐมนตรีหรือกรรมการบริหารพรรคเกี่ยวกับข่าวนี้หรือไม่ นายสุชาติ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ อาจจะมีเพียงสมาชิกบางคนที่แสดงความคิดเห็นกันตามข่าว แต่ในส่วนของรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการพรรค ยังไม่ได้มีการประชุมหรือหารือในเรื่องนี้
“ข่าวที่ออกมามีแค่ในสื่อ ยังไม่มีอะไรชัดเจน เราต้องให้เกียรตินายกฯ เพราะท่านคือผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ หากถึงเวลาจริง ๆ ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไร ก็ว่ากันอีกทีตามสถานการณ์ในตอนนั้น”
สำหรับกระแสที่เริ่มจับตาไปที่ตัวของนายสุชาติเอง ว่าอาจจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงในพรรค นายสุชาติตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “ยังไม่ถึงเวลา”