วิบากกรรม“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”ส่อขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี

29 เม.ย. 2568 | 11:51 น.
อัปเดตล่าสุด :29 เม.ย. 2568 | 12:02 น.
922

"พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" เจอวิบากกรรม ถูกยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ส่อขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังพบยังมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน นักกฎหมายชี้ช่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด

KEY

POINTS

  • "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" เจอวิบากกรรม ถูกยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ส่อขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังพบยังมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน
  • นักกฎหมายชี้ส่อฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กระทบไปถึงสถานะการดำรงตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เสนอทูลเกล้าฯ อีกด้วย
  • ปัญหาคุณสมบัติรัฐมนตรีของ “พีระพันธุ์" ถูกเตะลูกไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.ว่า จะรับเรื่องไว้ตรวจสอบไต่ส่วนหรือไม่ และจะมีใครไปยื่นร้องให้ส่งเรื่องไปยัง“ศาลรัฐธรรมนูญ”เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดเพิ่มเติมหรือไม่ 
     

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังเผชิญกับ “วิบากกรรม” ถูกตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จากกรณียังมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน แม้จะมีการโอนหุ้นไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สินแทนแล้วก็ตาม

ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ไปยื่นร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนตรวจสอบ นายพีระพันธุ์ ข้อเท็จจริง ดังนี้  

1. มีการอ้างถึงองคมนตรี ซึ่งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 หรือไม่ 

2. ประเด็นการถือหุ้นอยู่ในบริษัท จำนวน 3 บริษัท หลังจาก นายพีระพันธุ์ รับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566  

นายสนธิญา เรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 และมาตรา235 เพื่อไต่สวนและมีความเห็น ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (4) (5) และ มาตรา 219 การกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อจริยธรรมร้ายแรง ในข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 11 ข้อที่ 17 ข้อที่ 21 ประกอบข้อที่ 27 
ทั้งนี้เพื่อไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีการกระทำการดังกล่าว ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ก็ให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 235 ต่อไป 

แจงปมยื่นตรวจสอบพีระพันธุ์

นายสนธิญา ยังอธิบายถึงเรื่องร้องเรียนว่า ได้แก่ กรณีการอ้างถึง DNA ลุงตู่ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ซึ่งไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และประเด็นการถือหุ้นอยู่ใน 3 บริษัท หลังจากที่รับตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566

กรณีที่ นายพีระพันธุ์ กล่าวถึง DNA ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ในหลายโอกาส รวมทั้งเพจของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือบุคคลอื่นบุคคลใดก็ตามที่กล่าวถึงองคมนตรี ขณะนี้สถานะขององคมนตรีเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 12 

ดังนั้น องคมนตรีไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือพรรคการเมืองได้ แม้จะรัก เคารพ หรือนับถือกันมากเท่าใด แต่ไม่สามารถดึงองคมนตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ หากยังกระทำต่อไป ตนถือว่าการกระทำเหล่านั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ 

ส่วนประเด็นที่ 2 ยื่นเอกสารขอให้ตรวจสอบกรณีที่ นายพีระพันธุ์ ถูกกล่าวหาว่า เป็นกรรมการบริหาร และมีส่วนการพิจารณาหรือตัดสินใจ มีหุ้นส่วน ตั้งแต่กว่า 70% 77% และ 10% ของ 3 บริษัท หากเป็นเช่นนี้ กระบวนการจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 170(4) มาตรา 160(5) และมาตรา 179(9) 

เพราะกรณีการเป็นกรรมการบริหารในบริษัทเอกชน หรือ ถือหุ้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหาร ต้องลาออกก่อนดำรงตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบ ขณะนี้บางบริษัทยังมีชื่อ นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอยู่

“หาก ป.ป.ช.ตรวจสอบและวินิจฉัยอย่างชัดเจน ว่า นายพีระพันธุ์ ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทเอกชนเหล่านั้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ที่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 219” นายสนธิญา ระบุ

“พีระพันธุ์”ถือครองหุ้น 4 บริษัท

ด้าน ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ออกมาให้ความเห็นด้านกฎหมายมหาชน ต่อประเด็นดังกล่าวว่า รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเป็นคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นเจ้าของ หรือถือครองหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ในมาตรา 98(3) และห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนและบริษัท รวมถึงห้ามเป็นลูกจ้างอีกด้วย โดยบัญญัติห้ามไว้ในมาตรา 187 

แต่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้รัฐมนตรีจะต้องแจ้งให้ ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และจะต้องโอนหุ้นให้นิติบุคคลแก่นิติบุคคลไปบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นภายใน 90 วัน และจะต้องแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบภายใน 10 วัน ตามพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 โดยกฎหมายกำหนดหุ้นขั้นต่ำ ที่รัฐมนตรีถือไว้ได้ ไม่เกิน 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

แตกต่างกรณีเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติห้ามผู้สมัคร สส. หรือ สว.จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามไว้ในมาตรา 98(3) และ พรป.สส. หรือ พรป.สว.ต้องไม่มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามก่อนยื่นใบสมัคร แต่รัฐธรรมนูญบัญญัติเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม รวมถึงรัฐมนตรีในมาตรา 160(6) เช่นกัน

ประเด็นของ นายพีระพันธุ์ มีการโอนหุ้นให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของคนอื่นหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่า นายพีระพันธุ์ ยังถือครองหุ้นทั้ง 4 บริษัท เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เด็ดขาดจะต้องโอน หมายความว่า กรรมสิทธิ์ในหุ้นจะต้องโอนด้วย แม้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้ทำสัญญาให้บริษัทอื่นบริหารจัดการก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญห้ามเด็ดขาด รัฐมนตรีจะเข้าไปเกี่ยวข้องการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทไม่ได้ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 187 วรรคสาม 

ทั้งนี้ ยังพบข้อเท็จจริงที่ปรากฏอันแพร่หลายของนายทะเบียน กรมพัฒนาธุกิจการค้า พบว่า นายพีระพันธุ์ รัฐมนตรี มีการถือหุ้นอยู่ในบริษัทเอกชน ปรากฏชื่อของ พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในปัจจุบัน เป็นผู้มีอำนาจลงนาม หรือเป็นกรรมการบริษัท โดยในส่วนของ นายพีระพันธุ์ ถือครองหุ้นใน 4 บริษัท ตามเอกสารที่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูล ได้แก่

1.บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 588,500 หุ้น (คิดเป็น 73.58%) บริษัทนี้ มีกรรมการ 3 คน ได้แก่ พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด นายสยาม บางกุลธรรม และร้อยเอกพีระภัฏ บุญเจริญ

2.บริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด  นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 46,500 หุ้น (คิดเป็น 93%) มีกรรมการ 2 คน ได้แก่ น.ส.กนกวรรณ ลิ้มสุวรรณ และพล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด

3.บริษัท รพีโสภาค จำกัด บริษัทนี้ นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 22,000 หุ้น (คิดเป็น 73.33%) บริษัทนี้มีกรรมการ 2 คน ได้แก่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค และ นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค 

และ 4.บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 1,000 หุ้น (คิดเป็น 10%) โดยบริษัทนี้มีกรรมการ 1 คน ได้แก่ น.ส.ภัทรพรรณ สาลีรัฐวิภาค

                              วิบากกรรม“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”ส่อขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี

 

ยังนั่งก.ก.ผู้มีอำนาจลงนาม

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญเปิดช่อง ให้การถือหุ้นของผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น สามารถโอนหุ้นไปให้บริษัทดูแลบริหารจัดการแทนได้ กรณีของ นายพีระพันธุ์ ทำสัญญาโอนหุ้นไปให้ บมจ.เอ็มเอฟซี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 แต่จากการตรวจสอบยังพบว่า ในปัจจุบัน นายพีระพันธุ์ ยังคงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอยู่ในบริษัท รพีโสภาค จำกัด ที่ตนเองเคยถือหุ้นอยู่กว่า 73.33% 

จากข้อมูลทะเบียนนิติบุคคลของบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดเจนว่า นายพีระพันธุ์ เป็นกรรมการบริษัท มาตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยแม้เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีการลาออกแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ ยังเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทที่ตนเองถือหุ้นอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทวีพี แอโร่เทค จำกัด บริษัท โสภา คอนเล็คชั่น ก่อนที่จะลาออกไปเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567  

คุณสมบัติส่อขัดรธน.หรือไม่

ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า นายพีระพันธุ์ เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2566 หรือประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะมีการแจ้งลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัททั้ง 2 แห่ง จึงเป็นกรณีสงสัยอย่างยิ่งในการเข้าสู่ตำแหน่ง และดำรงตำแหน่งของนายพีระพันธุ์ เข้าข่ายขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ และคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ครั้งที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่

"การที่รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง มีพฤติกรรมที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแบบนี้ ย่อมไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะตัวของรัฐมนตรีเท่านั้น แต่จะมีปัญหาในการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กระทบไปถึงสถานะการดำรงตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เสนอทูลเกล้าฯ อีกด้วย อีกทั้ง อาจมีผลลุกลามกระทบต่อสถานะ กก.บห.พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นายพีระพันธุ์ฯดำรงตำแหน่ง เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองอีกด้วยหรือไม่" ดร.ณัฐวุฒิ ระบุ

ส่วนที่ถามว่า กรณีมีข้อสงสัยสถานะความเป็นรัฐมนตรีของ นายพีระพันธุ์ สิ้นสุดลงหรือไม่ สามารถดำเนินการตรวจสอบช่องทางใดได้บ้างนั้น ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า โดยหลัก รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ตรวจสอบได้ ทั้ง สส. สว. กกต. หรือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน  แต่อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ช่องทางล่ารายชื่อ สส.หรือ สว.ค่อนข้างรวดเร็วที่สุด เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 วรรคสาม ประชาชนสามารถยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการการตรวจสอบ (กกต.) ตรวจสอบได้  

ส่วนสมาชิกรัฐสภา โดย สส. หรือ สว. จำนวน 1 ใน 10 ของสมาชิกแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกสภาแห่งนั้น เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เหมือนที่ สว.สีน้ำเงิน ร้องตรวจสอบต่อประธานวุฒิสภา ปมใช้อำนาจแทรกแซงของ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หากมีความสงสัยว่าคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่เปิดช่องให้ประชาชนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เว้นแต่ตามมาตรา 213 ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ 

อีกช่องทางหนึ่ง หากสงสัยในคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ ประชาชนสามารถยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231(1) ทั้งนี้ ต้องร้องขอให้ ปปช.ตรวจสอบ การขัดกันว่าด้วยผลประโยชน์เพื่อตรวจสอบ ตามมาตรา 235 วรรคหนึ่ง(1) กรณีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอีกช่องทางหนึ่งได้

“พีระพันธุ์”ไม่กังวลถูกยื่นสอบ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการยื่นตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ ขาดคุณสมบัติหรือไม่ ว่า การยื่นตรวจสอบเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ซึ่ง นายพีระพันธุ์ เองก็ไม่ได้หนักใจ เร่งทำงานผลักดันกฎหมาย ในส่วนของกฎหมายพลังงาน โดยตัวของนายพีระพันธุ์ ก็โฟกัสเรื่องของการทำงานมากกว่า 

... กรณีปัญหาคุณสมบัติรัฐมนตรีของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ถูกเตะลูกไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.ว่า จะรับเรื่องไว้ตรวจสอบไต่ส่วนหรือไม่ 

หรือจะมีใครไปยื่นให้หน่วยงานไหนตรวจสอบคุณสมบัติของ “พีระพันธุ์” เพื่อส่งไปให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยชี้ขาดเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องติดตาม...