thansettakij
นายกฯ ย้ำความเป็นอิสระในการทำงาน คำนึงถึงประโยชน์ ปชช.เป็นหลัก 

นายกฯ ย้ำความเป็นอิสระในการทำงาน คำนึงถึงประโยชน์ ปชช.เป็นหลัก 

25 มี.ค. 2568 | 18:00 น.

นายกรัฐมนตรี ย้ำจุดยืนปัดข้อครหาถูกครอบงำ ยันเดินหน้าทำงานคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก

25 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษเรื่องด่วนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลโดยเฉพาะประเด็นเรื่องของภาวะผู้นำและการถูกครอบงำว่า ไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ ส่วนตัวเคารพและให้เกียรติผู้นำฝ่ายค้านและไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ไม่เคยพูดหรือสงสัย ทั้งสองฝ่ายมีอายุใกล้กัน

เส้นทางทางการเมืองก็มีความคล้ายกัน คงจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด การด้อยค่าคนอื่นไม่ควรทำ ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะนำข้อแนะนำมาใช้พิจารณา เพราะว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และถูกยอมรับในวงกว้าง ทั้งในและต่างประเทศ และถ้าเป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน มั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดี

อีกอย่างการที่เป็นลูกดร.ทักษิณ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะคำแนะนำของคุณพ่อมาใช้ ถ้าความคิดของท่านจะเป็นประโยชน์ หรือ กรณีที่หลายท่านถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ยังเดินหน้าทำงานการเมืองอยู่ ทำไมถึงเป็นเรื่องคุณพ่อเพียงคนเดียว

เรื่องอุยกูร์ ที่ตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายเรื่องลี้ภัยก็ยึดหลักดำเนินการตามขั้นตอน เมื่อประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศแม่ทวงถามหรือมาขออย่างเป็นทางการ ขณะที่ประเทศที่สามอื่น ๆ ไม่เคยขอมา เมื่อจีนร้องขอมาก็ดำเนินการ และคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ต้องรับฟังเสียงคนไทย คนไทยต้องการอะไร อะไรคือ ประโยชน์สูงสุดของคนไทย การกลับไปดีกว่าหรือไม่แทนที่จะถูกกักอยู่

ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ต้องอธิบายให้เข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้มีหนังสือรับรองชัดเจนทำให้มั่นใจจึงส่งกลับประเทศไปและเท่าที่ทราบว่าก็ยังไม่มีพรรคการเมืองใดออกนโยบายสำหรับกลุ่มผู้ลี้ภัยโดยตรงแต่อย่างใด 

ส่วนเรื่องการแก้ไขรธน.นั้นเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ซึ่งขณะนั้นเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน และลงสัตยาบันร่วมกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ และเมื่อเป็นรัฐบาล ได้แถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภา มีจุดยืนในการแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ยุ่งกับหมวด 1 และ 2 แต่ด้วยข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก มีข้อเห็นต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภา ทั้งในเรื่องกฎหมายการทำประชามติและจำนวนครั้งในการทำประชามติ แต่รัฐบาลยังพยายามเดินไปข้างหน้า โดยแสดงภาวะผู้นำอยู่ตลอดโดยไม่ต้องเรียกร้อง

มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอดในทุก ๆ นโยบายที่ต้องหารือกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จนล่าสุดพรรคร่วมรัฐบาลที่เคยไม่เข้าร่วมการประชุมก็ลงมติเห็นชอบร่วมกันนำเรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญแม้ว่าจะช้าไปบ้าง ไม่ทันใจ แต่ก็เป็นโอกาสชัดเจนแห่งความสำเร็จ