เศรษฐา พบ นายกฯ มาเลเซีย ดันสันติภาพ-พัฒนาพื้นที่ชายแดน

03 ส.ค. 2567 | 14:45 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ส.ค. 2567 | 14:51 น.

นายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” ลงพื้นที่สุไหงโก-ลก ร่วมกับ นายกฯมาเลเซีย หาทางผลักดันความร่วมมือพัฒนาชายแดน มุ่งหวังสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน พร้อมเชื่อมโยง พัฒนาเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว

วันนี้ (3 สิงหาคม 2567) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สุไหงโก-ลก พบหารือกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยใน เวลา 11.25 น. นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้พบหารือกันที่ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ถึงความร่วมมือระหว่างกัน

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สุไหงโก-ลก พบหารือกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญจากการหารือว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ ร่วมกันครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Peace and Prosperity) และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพ ความจริงจังและเจตนารมณ์ ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองประเทศในการร่วมมือกันเพื่อรักษาความสงบในบริเวณชายแดน

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณมาเลเซียสำหรับการขับเคลื่อนความร่วมมือ ผ่านการจัดประชุมคณะทำงานด้านการค้าชายแดน และการค้าการลงทุน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันจัดประชุมคณะทำงาน working group ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศจะหารือกันในกรอบความร่วมมือ JC และ JDS

พร้อมกันนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันในความร่วมมือเกี่ยวกับสินค้าและมาตรฐานฮาลาลระหว่างทั้งสอง ประเทศเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายได้หารือเพื่อความร่วมมือในการขุดลอกแม่น้ำโก-ลก ที่ตื้นเขิน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยฝ่ายมาเลเซียขอความช่วยเหลือ ในการหารือนายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่าจะสั่งการกระทรวงการต่างประเทศ จัดการประชุมร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาความร่วมมือต่อไป

โฆษกรัฐบาล ระบุว่า ในช่วงท้าย ของการหารือนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานสุไหงโก-ลกทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น ถือเป็นเครื่องสะท้อนว่าทั้งสองประเทศมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้น สะพานคู่ขนานสุไหงโกลกจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี เป็นโอกาสที่ได้หารือกันเรื่องเขตการค้าพิเศษระหว่างกัน 

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการหารือในครั้งนี้จะเป็นโอกาสด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับมายังพื้นที่นี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อชื่นชมพัฒนาการที่เกิดขึ้น