“เอ้ สุชัชวีร์” ย้ำแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เชียงใหม่ ทำได้ด้วย 'ภาวะผู้นำ'

19 มี.ค. 2567 | 11:07 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มี.ค. 2567 | 11:14 น.

“เอ้ สุชัชวีร์” ย้ำแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เชียงใหม่ ทำได้ด้วย 'ภาวะผู้นำ' น่ายเสียดายนายกลงพื้นที่ แต่ "ไม่รับฟัง" ปัญหาชาวบ้านและนักวิชาการ

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เชียงใหม่ มีค่าฝุ่นพิษติดอันดับ 1 ของโลก ล่าสุด เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความว่า ปัญหา ฝุ่น pm2.5 ที่เชียงใหม่ แก้ได้ด้วย "ภาวะผู้นำ" น่าเสียดายอย่างยิ่ง ท่านนายกลงพื้นที่เชียงใหม่ แต่ "ไม่รับฟัง" ปัญหาชาวบ้านและนักวิชาการ เพราะคนในพื้นที่ "รู้จริง" และท่านยังไม่แสดงวิสัยทัศน์ "การแก้ปัญหา" อย่างเอาจริงเอาจังเพียงพอ ทั้งที่นายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ มีพลัง แก้ไขวิกฤติฝุ่นพิษได้

ผมมั่นใจว่า บทบาทของนายกรัฐมนตรี สามารถแก้ปัญหา "ทุกข์เรื้อรัง" ของชาวเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงได้ หากท่าน "เอาจริงเอาจัง" กับ 3 เรื่องนี้

1. นายกรัฐมนตรี ต้องจัดการกับ "ผลประโยชน์ทับซ้อน"

"การเผา" เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ของราชการกันเอง ทั้งระหว่างหน่วยงาน ที่ต่างฝ่ายก็ต้องการงบประมาณลงหน่วยงานของตนให้มากที่สุด และปัญหาผลประโยชน์ของเอกชน มีหลายคนได้ผลประโยชน์จากการที่ป่า หรือไร่ถูกเผา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุด ถ้าแก้เรื่อง "ประโยชน์ทับซ้อน" ได้ การเผาจะลดลง ฝุ่นก็ลดลง

2. นายกรัฐมนตรี ต้อง "กระจายอำนาจ และงบประมาณ"

การแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อบรรเทาทุกข์ อาจถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหา ด้วย "เงิน" เพราะการให้เงินโบนัสหมู่บ้านไม่เผา โดยกระจายอำนาจหน้าที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดำเนินการได้กับหมู่บ้านที่ไม่เผา เราอาจไม่ถูกใจเรื่องแจกเงิน แต่คุ้มค่ากว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและทางสุขภาพ ที่เกิดจากฝุ่นพิษ pm2.5

อีกทั้งยังประหยัดงบประมาณในการดับไฟ และรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเสี่ยงกับการเข้าไปดับไฟ อีกด้วย

ค่าฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่

 

3. นายกรัฐมนตรี ต้องใช้ "เทคโนโลยี" แก้ปัญหา เพราะเทคโนโลยีดาวเทียว "ไม่โกหก" เพราะภาพถ่ายจาก ดาวเทียวธีออส-2 ที่โคจรต่ำ ผ่านประเทศไทย 4 รอบต่อวัน จะรู้ทันที "ใครเผา" และ "ที่ดินใคร"

สามารถใช้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการใดๆ ได้อย่างเป็นธรรม "ของดีมี ต้องใช้"

เท่านี้เองครับ วัด "ความเป็นผู้นำ" ของนายกรัฐมนตรี กับการแก้วิกฤติชาติ ที่รอไม่ได้อีกต่อไป อย่าปล่อยให้เป็นแบบ "ไฟไหม้ฟาง" คือ "มาดู แล้วจากไป".